Saturday, December 20, 2008

ผลการศึกษาพัฒนาการด้านสังคมของเด็กปฐมวัย อายุ 3 ขวบที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

บทที่ 1
บทนำ
ภูมิหลัง
“การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างและพัฒนาความรู้ ความคิด
ความประพฤติและคุณธรรม ของบุคคล สังคมและบ้านเมืองใดให้
การศึกษาที่ดีแก่เยาวชนได้อย่างครบถ้วน ล้วนพอเหมาะกันทุกด้าน
สังคม และบ้านเมืองนั้น ก็จะมีพลเมืองที่ธำรงรักษา ความเจริญ
มั่นคงของประเทศชาติไว้ และก้าวพัฒนาไปได้โดยตลอด”
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ที่ทรงพระราชทานแนวพระราชดำริเกี่ยวกับการศึกษาไว้เมื่อปี พ.ศ.2542 นอกจากนี้ พระองค์ท่านยังได้มีพระบรมราโชวาทที่ความเกี่ยวข้องกับการศึกษาพระราชทานไว้ โดยได้พระราชทานไว้เนื่องในงานวันเด็กแห่งชาติ พุทธศักราช 2535 ซึ่งพระองค์ท่านได้กล่าวไว้อย่างสอดคล้องกันว่า
“การให้การศึกษาแก่เด็กต้องเริ่มตั้งแต่เกิด ขึ้นต้น ก็ต้องสอนให้รู้จัก
ใช้อวัยวะและประสาทส่วนต่าง ๆ ต้องคอยควบคุมฝึกหัด จนสามารถ
ใช้อวัยวะและประสาทส่วนนั้น ๆ ทำกิจวัตรทั้งปวงของตนเองได้ เมื่อ
สามารถทำกิจวัตรของตัวได้แล้ว ถัดมา ก็ต้องสอนให้รู้จักทำการต่าง ๆ
ให้รู้จักแสวงหาสิ่งต่างๆ ตามที่ต้องการให้ได้มากขึ้น เพื่อทำให้ชีวิตมี
ความสะดวกมีความสบาย การให้การศึกษาขั้นนี้ ได้แก่การฝึกกายให้
มีความคล่องแคล่ว ชำนิชำนาญ และสามารถในการปฏิบัติ ประกอบ
กับการสอนวิชาความรู้ต่าง ๆ อันเป็นพื้นฐานสำหรับการประกอบอาชีพ
เลี้ยงตัว การให้การศึกษาอีกขั้นหนึ่ง คือการสอนและฝึกฝนให้เรียนรู้
วิทยาการที่ก้าวหน้าขึ้นไป พร้อมทั้งการฝึกฝนให้รู้จักใช้เหตุผลสติปัญญา
และหาหลักการของชีวิต เพื่อให้สามารถสร้างสรรค์ความเจริญงอกงาม
ทั้งทางกายและทางความคิด”
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของวิทยาลัยวิชาการศึกษา วันที่ ๒๙
พฤศจิกายน ๒๕๑๔ (ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา. 2542 : 3)
นอกจากแนวพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทของที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา พระองค์ท่านจึงได้พระราชทานแนวทางในการดำเนินชีวิตมาตลอด 32 ปีที่ผ่านมา นั่นคือ “หลักปรัชญาเศรษฐกิจแบบพอเพียง” ที่เน้นภายใต้หลักการ 3 หลักการ ซึ่งหมายถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใดๆอันเกิดจากความเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายในและ 2 เงื่อนไข ที่ต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบและระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆมาใช้ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน (เอกสารประกอบการประชุมสมัชชานานาชาติ แห่งประเทศไทย. 2550 :15) ดัง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔) ได้อัญเชิญหลักปรัชญามาใช้เป็นแผนแม่บทในการพัฒนาประเทศซึ่งประกาศใช้ในปี พ.ศ. 2550นี้ เป็นแผนที่เกิดจากการระดมพลังความคิดและการมีส่วนร่วมของประชาชนชาวไทยจากทุกภาคส่วนทุกหมู่เหล่า ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ มาร่วมกันดำเนินการในทุกขั้นตอนอย่างกว้างขวาง และเห็นพ้องร่วมกันอัญเชิญ “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นแนวทางปฏิบัติ ควบคู่ไปกับการพัฒนาแบบบูรณาการเป็นองค์รวมที่มีคนเป็นศูนย์กลางการพัฒนาอย่างจริงจัง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศให้เกิดความสมดุล เป็นธรรมและยั่งยืน มุ่งสู่ “สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน” อันจะเป็นการเสริมสร้างประโยชน์สุขให้แก่ประชาชนโดยถ้วนหน้าสมดังพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ ตลอดเวลาหกทศวรรษที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ และพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่พสกนิกรที่ทรงให้ความสำคัญต่อการสร้างจิตสำนึกในศีลธรรมแก่ประชาชน ให้รู้จักประมาณตน ประหยัดอดออม ไม่โลภ มีคุณธรรมและจริยธรรม ซื่อสัตย์สุจริต มีความเพียรและอดทน รู้จักเสียสละและแบ่งปันอยู่เสมอ ดังนั้นหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจึงจำเป็นต้อการพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างศักยภาพในทุกมิติของประชาชน ทั้งด้านร่างกายที่มีความสมบูรณ์ แข็งแรง มีสติปัญญาใฝ่รู้ มีจิตสำนึกในคุณธรรมจริยธรรม มีความเพียรที่จะนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างมั่นคงยั่งยืน อันจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญยิ่งขึ้นอีก จะเห็นได้ว่าการพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นนั้นมีความจำเป็นอย่างมาก ต้องเร่งปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก เพื่อให้เด็กสามารถปรับตัวเข้ากับผู้อื่น และการเตรียมความพร้อมให้เด็กได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ อย่างถูกต้องเหมาะสมนั้นเป็นการปูพื้นฐานให้เด็กช่วยเหลือตนเองได้และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในสังคมต่อไป
พัฒนาการทางสังคมจะต้องเริ่มปลูกฝัง พัฒนาตั้งแต่เด็กปฐมวัยเพื่อให้เด็กเรียนรู้ที่จะเป็นสมาชิกของกลุ่มและเริ่มมีความสามารถในการมีส่วนร่วมในกลุ่มเป็นระยะ ๆ ได้ การพัฒนาทักษะทางสังคมในวัยเด็กจะเกิดจากการเล่น การวาดภาพ การรับประทานอาหาร และการร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับเพื่อน (เยาวพา เดชะคุปต์. 2542 : 40 ) ดังนั้น พัฒนาการทางสังคมจึง
หมายถึง การพัฒนาความสามารถในการแสดงพฤติกรรมของบุคคลให้สอดคล้องกับแบบแผนที่ยอมรับจากสังคม เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ซึ่งปัทมา ศุภกำเนิด (2545 : 8) และกับทัศนัย์ อุดมพันธ์ (2541 : 1) ได้กล่าวอย่างสอดคล้องกันว่าการจัดการศึกษาปฐมวัย ควรมีการจัดประสบการณ์ที่ปลูกฝังและส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการครบทุกด้าน โดยเฉพาะการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสังคมที่เหมาะสม เด็ก ๆ จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักบทบาทหน้าที่ของตน มีความรับผิดชอบไม่ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม ธีระ ชัยยุทธยรรยงค์ ได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันนี้ว่า คนไทยในปัจจุบันมีความเห็นแก่ตัว ฟุ่มเฟือยทุกระดับ มีลักษณะมุ่งหาผลประโยชน์ใส่ตนเองโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง เพราะคนไทยพยายามที่จะก้าวจากสังคมเกษตรกรรม มาเป็นสังคมอุตสาหกรรม จึงรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกที่เน้นวัตถุเป็นส่วนมาก ทำให้คนเสาะแสวงหาและเร่งรัดทุกวิถีทาง เพื่อที่จะพัฒนาประเทศให้ เจริญด้านเศรษฐกิจ จึงเป็นแรงจูงใจให้เกิดความฟุ้งเฟ้อหรูหรา มีความที่จะรับและเลียนแบบผู้อื่น ไปรับเอาข้อมูลในทางลบและทางบวก ตัวอย่างที่เหมาะสมและไม่เหมาะสม ไม่มีการเลือกรับสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย ซึ่งนับวันการหลงผิดยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น จนมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของเด็กและเยาวชน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำมาใช้ในการจัดการศึกษา โดยเฉพาะในการพัฒนากับการเรียนการสอนที่ทำหน้าที่ในด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชน ให้สามารถพึ่งพาตนเองในการดำรงชีวิตประจำวัน มีสติ มีคุณธรรม มีจริยธรรม และแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้
การจัดประสบการณ์ให้แก่เด็กนั้นจัดในรูปแบบกิจกรรมที่บูรณาการเนื้อหาวิชาต่าง ๆ ผ่านการเล่นเพื่อให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง เกิดการเรียนรู้ ได้พัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2538 : 4 -5) กล่าวว่า
การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยจะออกมาในรูปแบบของกิจกรรมประจำวัน ซึ่งในแต่ละวันจะมีการจัดกิจกรรมหลัก 6 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ กิจกรรมสร้างสรรค์ กิจกรรมเสรี กิจกรรมกลางแจ้ง กิจกรรมเกมการศึกษาและกิจกรรมเสริมประสบการณ์ และความสำคัญของการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์นั้น กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ (2540 : 19 -20) กล่าวว่า เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ ฝึกการทำงานและอยู่ร่วมกับผู้อื่นเป็นกลุ่ม ทั้งกลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ กิจกรรมที่ฝึกให้เด็กมีโอกาสได้ฟัง พูด สังเกต คิด แก้ปัญหา ใช้เหตุผลและฝึกปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับเรื่องที่เรียน โดยจัดกิจกรรมด้วยวิธีต่างๆ เช่น สนทนา สาธิต ทดลอง เล่านิทาน เล่นบทบาทสมมติ ร้องเพลง ท่องคำคล้องจอง ศึกษานอกสถานที่ เชิญวิทยากรมาให้ความรู้ ฯลฯ สอดคล้องกับสำนักงานคณะกรรมการศึกษาเอกชน (2535 : 47) ที่กล่าวว่า กิจกรรมเสริมประสบการณ์ช่วยให้เด็กมีความคิดรวบยอดที่ชัดเจน ซึ่งเป็นการพัฒนาทักษะทางสติปัญญาให้เด็กเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับเนื้อหาหน่วยการเรียนการสอน ตลอดจนส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคมฝึกการกล้าแสดงออก นอกจากนั้นยังช่วยให้เด็กเกิดความรู้สึกอบอุ่นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครู
ตลอดระยะเวลา 32 ปี ที่ “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ได้ดำเนินการใช้มา มีการศึกษาเกี่ยวกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ดังที่ นันทา ชุติแพทย์วิภา. (2545 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาเรื่องผลการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนพระขวัญชัย ศรีพรรณ์ (เกตุธรรมโม) (2546 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการใช้แนวคิดตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนวิชาพุทธศาสนา โดยการใช้หลักการสอนแบบอริยสัจกับการสอนแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ พบว่า นักเรียนที่เรียนวิชาพุทธศาสนา โดยใช้วิธีการแบบอริยสัจกับการสอนแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ มีการใช้แนวคิดตามหลักหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสมพร พงษ์เสถียรศักดิ์ (2546 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการประพฤติตนตามคุณธรรมในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 ที่เรียนหลักธรรมในพระพุทธศาสนา โดยการสอนแบบโยโสมนสิการกับการสอนแบบไตรสิกขา พบว่า นักเรียนที่เรียนหลักธรรมในพระพุทธศาสนาโดยการสอนแบบโยโสมนสิการกับการสอนแบบไตรสิกขามีผลการเรียนแตกต่างกันอย่าง ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติและนักเรียนที่เรียนหลักธรรมในพระพุทธศาสนาโดยการสอนแบบโยโสมนสิการกับการสอนแบบไตรสิกขา มีการประพฤติตามคุณธรรมในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นอกจากนี้ นภัสวรรณ ชื่นฤดี (2550 : 88) ได้ศึกษาการพัฒนาสาระการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย ตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง ผลการศึกษาพบว่า การสร้างสาระการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจริงในห้องเรียน สร้างพื้นฐานคุณลักษณะ 3 ด้าน คือ การบริโภคด้วยปัญญา ด้านการพึ่งพาตนเอง และด้านการประหยัด จากงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปศึกษาในเรื่องใดก็ตาม ต่างเกิดความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นในทุก ๆ เรื่องแต่จากการศึกษาค้นคว้ายังไม่พบว่ามีงานวิจัยใดที่ศึกษาพัฒนาการเด็กที่เกิดจากการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นฐาน จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาพัฒนาการทางสังคมของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นการน้อมรับเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ มาเป็นแนวทางในการพัฒนาเด็กปฐมวัย เพื่อให้เด็กเติบโตเป็นเยาวชนที่ดีของสังคม รวมทั้งเป็นประชากรที่ดีของประเทศ ในอันที่จะช่วยกันพัฒนาประเทศชาติให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป

ความมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า
เพื่อศึกษาพัฒนาการด้านสังคมของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ความสำคัญของการศึกษาค้นคว้า
การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาเพื่อมุ่งเน้นให้เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการทางสังคม โดยการจัดกิจกรรมที่หลากหลายโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะช่วยให้ครูผู้สอนและผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย ได้เกิดความรู้ความเข้าใจต่อการพัฒนาทางสังคมของเด็กปฐมวัยและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ตั้งบนพื้นฐานของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งเลือกใช้เป็นแนวทาง ในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาเด็กต่อไป

ขอบเขตของการศึกษา
1. ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ เป็นเด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุระหว่าง 3 - 4 ปี ที่กำลังศึกษาชั้นอนุบาลปีที่ 1 ของโรงเรียนอนุบาลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในพระอุปถัมภ์ของ สมเด็จพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จำนวน 5ห้อง
2. กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนชาย-หญิงอายุระหว่าง 3 - 4 ปี
ชั้นอนุบาลที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 ของนักเรียนโรงเรียนอนุบาลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในพระอุปถัมภ์ของ สมเด็จพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง (purposive sampling) โดยสุ่มเด็ก ห้องเรียน 1 ห้องเรียน ให้เป็นกลุ่มตัวอย่าง
3. ระยะเวลาในการทดลอง
ในการทดลองครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทำการทดลองในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 ระยะเวลาในการทดลอง 7 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 30 นาที รวมทั้งสิ้น 20 ครั้ง
4. นิยามศัพท์เฉพาะ
1. เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กชาย-หญิง อายุระหว่าง 3 - 4 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ใน
ชั้นอนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 ของโรงเรียนอนุบาลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในพระอุปถัมภ์ของ สมเด็จพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
2. หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติในทางที่ควรจะเป็น มีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลางและการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน ประกอบด้วย 3 คุณลักษณะ และ 2 เงื่อนไขดังนี้
2.1 ความพอประมาณ
2.2 ความมีเหตุผล
2.3 การมีภูมิคุ้มกันที่ดี หมายถึง เตรียมตัวให้พร้อมกับสถานการณ์ที่แปลงในอนาคต
และ 2 เงื่อนไข ดังนี้
2.4 เงื่อนไขความรู้
2.5 เงื่อนไขคุณธรรม
3. พัฒนาการทางสังคม หมายถึง พัฒนาการทางสังคมเป็นการพัฒนาความสามารถในการแสดงพฤติกรรมของบุคคล เพื่อเรียนรู้และปรับตัวให้สอดคล้องกับแบบแผนที่สังคมยอมรับ ให้ดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ในการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาได้คัดเลือกมา 3 ด้าน
ได้แก่
3.1 การปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของตนเอง
3.2 การเอื้อเฟื้อ แบ่งปัน
3.3 การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า
ซึ่งจากการศึกษา พัฒนาการด้านสังคมของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สามารถวัดได้จากแบบสังเกตที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
4. กิจกรรมเสริมประสบการณ์ หมายถึง กิจกรรมที่อยู่ในวงกลมที่เป็นกลุ่มย่อยหรือกลุ่มใหญ่ เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ ฝึกการทำงาน การอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม กิจกรรมนี้มุ่งฝึกประสบการณ์พูด ฟัง สังเกต คิด แก้ปัญหา ใช้เหตุผลและฝึกปฏิบัติเพื่อให้เด็กเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับเรื่องที่เรียน โดยใช้วิธีการต่างๆ เช่น สนทนา อภิปราย สาธิต ทดลอง เล่านิทาน เล่นบทบาทสมมติ ร้องเพลง ท่องคำคล้องจอง การศึกษานอกสถานที่ เป็นต้น
5. กิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง การจัดกิจกรรมด้วยรูปแบบที่หลากหลายโดยบูรณาการหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับพัฒนาการเด็ก ผ่านการจัดกิจกรรม การสนทนา ร้องเพลง เล่านิทาน การศึกษานอกสถานที่ ท่องคำคล้องจอง บทบาทสมมติ เล่นเกม ฯลฯ เพื่อมุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ ฝึกการทำงาน การอยู่ร่วมกันเป็น

กรอบแนวคิดในการศึกษาค้นคว้า

หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

3 คุณลักษณะ ได้แก่
1. ความพอประมาณ
2. ความมีเหตุผล
3. การมีภูมิคุ้มกันที่ดี
2 เงื่อนไข ได้แก่
1. เงื่อนไขความรู้
2. เงื่อนไขคุณธรรม
พัฒนาการ ด้านสังคม
2.1 การปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของตนเอง
2.2 การเล่นร่วมและทำงานร่วมกับ
ผู้อื่น
2.3 การช่วยเหลือตนเองและผู้อื่น
2.4 การเอื้อเฟื้อ แบ่งปัน

กิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียง
1. การสนทนา/การเล่านิทาน
2. การศึกษานอกสถานที่
3. บทบาทสมมติ
4. การร้องเพลง/ฟังเพลง ท่องคำคล้องจอง
5. เล่นเกม

การสะท้อนความคิด
1. พฤติกรรมทั่วไป
2. บันทึก คำพูด
3. ผลงาน

สมมติฐานในการศึกษาค้นคว้า
พัฒนาการด้านสังคมของเด็กปฐมวัย อายุ 3 ขวบ ที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีพัฒนาการด้านสังคมสูงขึ้น

บทที่ 2

เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

การศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยแยกตามหัวข้อดังนี้
1. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัย
1.1 ความหมายและความสำคัญของพัฒนาการทางสังคม
1.2 ทฤษฎีพัฒนาการทางสังคม
1.3 ความหมายของพฤติกรรมทางสังคมและความสำคัญของพฤติกรรมทางสังคม
1.4 งานวิจัยที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางสังคม
2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเสริมประสบการณ์
2.1 ความหมายของกิจกรรมเสริมประสบการณ์
2.2 ความสำคัญของกิจกรรมเสริมประสบการณ์
2.3 รูปแบบและเทคนิคของการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์
2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวกับกิจกรรมเสริมประสบการณ์
3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดทฤษฎีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
3.1 ความหมายและความสำคัญของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
3.2 หลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
3.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

1. เอกสารและงานวิจัยทื่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางสังคม
1.1 ความหมายของพัฒนาการทางสังคม
จากการศึกษาได้มีผู้ให้ความหมายของพัฒนาการทางสังคมไว้หลายทัศนะ
กล่าวคือ
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2528 : 220) ได้กล่าวว่า พัฒนาการทางสังคม หมายถึง การพัฒนาความสามารถในการแสดงออกของมนุษย์ให้สอดคล้องกับแบบแผนและเป็นที่ยอมรับของสังคม เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
วิณี ชิดเชิดวงศ์ (2537 : 167) ได้ให้ความหมายของพัฒนาการทางสังคมไว้ว่า พัฒนาการทางสังคม หมายถึง ความสามารถในการที่จะปรับตัวให้กับสังคมที่ตนเองอยู่ได้เป็นอย่างดี สามารถปรับตัวให้เข้าสิ่งแวดล้อมรอบตัวเองได้ เป็นพฤติกรรมที่เด็กสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น ลักษณะพฤติกรรมทางสังคมของบุคคลแต่ละมีรากฐานมาจากวัยทารกและวัยตอนต้น
นภเนตร ธรรมบวร (2540 : 97) ได้ให้ความหมายไว้ว่า พัฒนาการทางสังคม หมายถึง การเรียนรู้ทักษะในการปฏิสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อน รวมตลอดถึงความสามารถในการตอบสนองทางสังคมต่าง ๆ นอกจากนั้นยังถึงความสามารถในการเข้าในสถานการณ์ อารมณ์ ความรู้สึกของผู้อื่น การแก้ปัญหาต่าง ๆ และบทบาทสังคม
สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์ (2545 : 101) ได้ให้ความหมายของพัฒนาการทางสังคมไว้ว่า พัฒนาการทางสังคม หมายถึง พัฒนาการเรียนรู้ทางสังคมจากรู้สึกผูกพันใกล้ชิดภายในครอบครัวที่พึ่งพาตนเอง และการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น
กุลยา ตันติผลาชีวะ (2546 : 127) ได้กล่าวว่า พัฒนาการทางสังคมเป็นพัฒนาการของความสามารถแสดงพฤติกรรมต่อบุคคลอื่นและสิ่งแวดล้อม ให้สอดคล้องกับแบบแผนที่สังคมยอมรับได้ พฤติกรรมแสดงออกจะบอกจะบ่งบอกให้เห็นถึงเจตคติและค่านิยมเฉพาะตนของบุคคลนั้น
ดังนั้น พัฒนาการทางสังคมเป็นการพัฒนาความสามารถในการแสดงพฤติกรรมของบุคคล เพื่อเรียนรู้และปรับตัวให้สอดคล้องกับแบบแผนที่สังคมยอมรับ ให้ดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
1.2 ทฤษฎีพัฒนาการทางสังคม
อีริคสัน (Erikson) กล่าวว่า บุคลิกภาพของมนุษย์จะพัฒนาได้ดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์แต่ละช่วงอายุ ถ้าเด็กได้รับการตอบสนองอย่างเต็มที่ จะมีบุคลิกภาพและพร้อมที่จะพัฒนาขั้นต่อไป อย่างมีประสิทธิภาพ อิริคสันได้แบ่งระยะพัฒนาทางสังคมไว้ 8 ระยะ ในช่วงประถมวัยมี 3 ระยะดังนี้
1. ระยะความรู้สึกเชื่อมั่น (The Sense of Trust) อายุของระยะนี้อยู่ระหว่างหลังคลอดจนถึงอายุ 1 ปี ระยะนี้ถ้าเด็กมีความสบายและได้รับความรักความอบอุ่นจากแม่ในยามที่เขาต้องการ เด็กจะมีการปรับตัวที่ดี สามารถพัฒนาความรู้สึกไว้วางใจขึ้นได้ และในทางตรงข้าม ถ้าเด็กขาดความสุขทางกาย ขาดความรักอบอุ่น ก็จะเป็นผู้ที่ไม่สามารถควบคุม อารมณ์ตนเอง มีความกลัวและขาดความไว้วางใจผู้อื่น
2. ระยะต้องการทำหรือค้นหาด้วยตนเอง (The Sense of Autonomy) อายุของเด็กระยะนี้อยู่ระหว่าง 1 – 3 ปี เป็นระยะที่เด็กเริ่มฝึกการขับถ่าย ถ้าเด็กปฎิบัติได้ดีก็จะสามารถผ่านขั้นนี้ไปได้ด้วยดี เด็กจะเรียนรู้ในการรักษาความตั้งใจของตนเองและทำความตั้งใจให้เป็นจริง
3. ระยะการคิดริเริ่ม (The Sense of Initiative) อายุของเด็กระยะนี้อยู่ระหว่าง 3 – 6 ปี เด็กจะพยายามสร้างเอกลักษณ์ของตนเอง และสามารถแสดงความรู้สึกและพฤติกรรมที่เหมาะสมในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ เด็กสามารถพัฒนาความร่วมมือและการเป็นผู้นำผู้ตามที่ดีได้ระยะนี้หากเด็กเกิดความกลัว เด็กจะยึดผู้ใหญ่เป็นที่พึ่งตลอดเวลา ทำให้ความคิดจินตนาการและการพัฒนาทักษะทางสังคมถูกจำกัดไปด้วย
ฮาวิกเฮอร์ส (Havighurt’s) ได้รับอิทธิพลแนวความคิดจากอิริคสัน (Erikson) เกี่ยวกับลักษณะของการพัฒนาแต่ละช่วงวัยของชีวิตนั้นถ้าสิ่งที่เด็กทำในชีวิตประจำวันได้ในสิ่งที่เด็กทำในช่วงนั้น ๆ เด็กจะรู้สึกว่าตนเองประสบความสำเร็จ แต่ถ้าบุคคลใดไม่ประสบความสำเร็จในงานนั้น จะมีผลต่อการปรับตัว ฮาวิกเฮอร์สได้เสนองานตามขั้นพัฒนาการทางสังคมในเด็กปฐมวัย คือ
1. เด็กสามารถมีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับความจริง สังคมและกายภาพ ซึ่งหมายถึง การที่เด็กมีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่รอบตัว เช่น พ่อ แม่ โรงเรียน ครู และสิ่งต่าง ๆ ที่เด็กต้องเกี่ยวข้องด้วย
2. เด็กสามารถที่จะเรียนรู้ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับพี่น้องและเพื่อนรวมท้งชอบเลียนแบบบุคคลอื่น
3. เด็กสามารถที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ถูกกับสิ่งที่ผิดและเริ่มมีพัฒนาการทางจริยธรรม (พรรณี ชูทัย เจนจิต. 2537 : 77-78)
ซัลลิแวน (Sullivan) ได้แบ่งขั้นตอนพัฒนาการออกเป็น 6 ขั้น แต่ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะที่เกี่ยวกับเด็กปฐมวัยเท่านั้น ซึ่ง ซัลลิแวน ได้กล่าวว่า เด็กปฐมวัยเป็นระยะที่เด็กได้พัฒนาทักษะการเคลื่อนไหว และทักษะทางภาษา ซึ่งจะช่วยให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นได้อย่างอิสระกว้างขวางมากขึ้น เด็กเรียนรู้ทิศทางของวัฒนธรรมที่เขามีส่วนร่วมอยู่ เมื่อเขามีวุฒิภาวะพอที่จะใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสาร เขาก็จะเรียนรู้วิธีการที่จะปฏิบัติกับบุคคลอื่น เพื่อที่จะทำให้ตนเองรู้สึกมั่นคงปลอดภัย เด็กเริ่มรู้สึกถึงสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกกังวลและสามารถขจัดความวิตกกังวลนั้นได้ (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. 2536 : 11 ; อ้างอิงมาจาก Sunlivan. 1966)
จากทฤษฎีที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการทางสังคมที่ดีและมีบุคลิกภาพด้านความประพฤติ ความรู้สึกที่แสดงออกในสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ อย่างเหมาะสม รู้จักสร้างความร่วมมือและเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดีได้ เด็กจะพยายามสร้างเอกลักษณ์ของตนเอง และรู้ว่าตนเองต่างจากบุคคลอื่น จากการที่เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมการเลียนแบบและการเรียนรู้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับพ่อแม่ พี่น้องและบุคคลอื่น ๆ ดังนั้นการส่งเสริมพัฒนาการทางสังคมของเด็กปฐมวัยต้องสอดคล้องกับขั้นพัฒนาการตามวัยของเด็ก สำหรับเด็กวัย 5- 6 ขวบ แล้วสามารถส่งเสริมให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครูด้วยกิจกรรมที่ทำให้เด็กเกิดการร่วมมือกันในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น กิจกรรมที่ฝึกให้เด็กคิดร่วมกัน ลงมือทำร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะทำให้เกิดพัฒนาการทางสังคมที่ดี และสามารถส่งเสริมในขั้นต่อไป ทำให้เด็กสามารถพัฒนาและแสดงออกต่อผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม นำมาสู่การปรับตัวเข้าสู่สังคมอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
1.3 ความหมายของพฤติกรรมทางสังคมและความสำคัญของพฤติกรรมทางสังคม
1.3.1 ความหมายพฤติกรรมทางสังคม จากการศึกษาพบว่า ได้มีผู้ให้ความหมายของพฤติกรรมทางสังคมไว้หลายท่าน ดังต่อไปนี้
เพียเจต์ (Piaget) ได้กล่าวถึงพัฒนาการเด็กในระยะปฐมวัยไว้ว่า ปฐมวัยเป็นวัยที่เด็กจะเรียนรู้พฤติกรรมทางสังคม แต่ยังไม่เข้าใจว่า ความดี ความไม่ดีเป็นอย่างไร จึงยึดถือความพึงพอใจของตนเองเป็นใหญ่ (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. 2528 : 8)
กู๊ด (Good. 1965 : 314) ได้ให้ความหมายพฤติกรรมทางสังคมไว้ว่า เป็นการแสดงออกที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นสมาชิกของสังคมหรือเป็นการแสดงออกของกลุ่มบุคคล
อิงลิช (English. 1985 : 508) ได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกเนื่องจากพฤติกรรมของกลุ่มบุคคลอื่นหรือพฤติกรรมที่แสดงออกโดยการได้รับการควบคุมจากองค์กรทางสังคมที่มีรูปแบบแล้ว เช่น ครอบครัว เป็นต้น
เพจ (Page. 1997 : 314) ได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกเนื่องจากพฤติกรรมของกลุ่มบุคคลอื่น โดยได้รับการควบคุมจากองค์กรทางสังคม หรือเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกเพื่อพยายามที่จะมีอิทธิพลเหนือผู้อื่น
อาจสรุปได้ว่า พฤติกรรมทางสังคมหมายถึง พฤติกรรมการแสดงออกของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลในสังคม ซึ่งได้รับอิทธิพลจากกลุ่มบุคคลหรือองค์กรทางสังคม เด็กปฐมวัย 5-6 ปี สามารถแสดงออกในด้านต่าง ๆ โดยครูจัดกิจกรรมให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กัน เด็กได้ร่วมกิจกรรมได้ปรับตัวเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของเพื่อน
1.3.2 ลักษณะพฤติกรรมทางสังคม
1. การยอมรับผู้อื่น
การยอมรับจากสังคมของเด็กก่อนวัยเรียนต้องการการยอมรับจากเพื่อนที่ใกล้ชิดมากกว่าผู้ใหญ่ และสุภัค ไหวหากิจ (2543 : 20) ได้กล่าวถึง การยอมรับเด็กทุกคนต้องการการเป็นสมาชิกของกลุ่มและเป็นที่ยอมรับของเพื่อนในการเล่น ถ้าเด็กได้รับการยอมรับจะทำให้เด็กได้รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าต่อเพื่อน เด็กจะยินดีให้ความช่วยเหลือในการทำกิจกรรมต่าง ๆ นอกจากนั้นยังทำให้เด็กมีความสุข แต่ในทางตรงกันข้ามเด็กที่ถูกเพื่อนต่อต้านปฏิเสธ จะทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองด้อยคุณค่า หมดความภาคภูมิใจในตนเอง
2. การช่วยเหลือ
การช่วยเหลือเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของพฤติกรรมทางสังคม ซึ่งแนนซี่และไมเคิล (Nancy and Michael. 1979 : 365- 363 ; อ้างอิงจาก วีระพงศ์ บุญประจักษ์. 2545 : 13) ได้กล่าวถึงการช่วยเหลือว่า เป็นการพยายามที่จะช่วยบรรเทาความต้องการที่ไม่ใช่ทางอารมณ์แก่ผู้อื่น เช่น การช่วยเหลือให้ข้อมูล ช่วยเหลือผู้อื่นทำงานหรือเสนอสิ่งของที่ตนเองไม่เคยเป็นเจ้าของมาก่อนและ บี (Bee. 1985 : 396 – 401) ได้กล่าวถึงพฤติกรรมการช่วยเหลือเพื่อนของเด็กปฐมวัยว่า เป็นการแสดงปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเชิงบวก ซึ่งอายุ 2-3 ปี จะมีชนิดของการมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกด้วยการให้ เช่น เด็กเสนอให้ความช่วยเหลือหรือให้ของเลานหรือพยายามปลอบใจคนที่ได้รับบาดเจ็บ เด็กจะทำตามคำขอร้อง หรือคำแนะนำของเพื่อนมากกว่าคนที่มาใช่เพื่อน เด็กบางคนจะแสดงพฤติกรรมการช่วยเหลือมากกว่าเด็กอื่น ซึ่งเป็นผลมาจาก ประสบการณ์ในการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลทั้งในครอบครัวและบุคคลอื่น ๆ รวมทั้งเพื่อน ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการช่วยเหลือเป็นการพยายามที่จะบรรเทาความต้องการโดยการใช้คำพูดหรือการแสดงความปลอบใจหรือช่วยเหลือเพื่อนในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
3. การแบ่งปัน
ครอกและลามม์ (ปัทมา ศุภกำเนิด. 2545 : 13 ; อ้างอิงจาก Krogh and Lamme. 1983. Children Education. : 183 –192 ) ได้กล่าวถึงทฤษฎีของดามอนและแซลแมนไว้ว่า การนแบ่งปันและการให้ของเด็กอายุ 4- 6 ปี จะยึดตนเองเป็นศูนย์กลางและยึดเป็นรูปธรรม เด็กจะมีความรักและหวงแหนสิ่งของที่เป็นของกิน ของใช้ ของเล่น และมักชอบสิ่งของอย่างเดียวกัน ดังนั้น สิ่งของที่เด็กจะแบ่งปันให้เพื่อนจึงเป็นสิ่งที่ไม่ชอบ และศุภกุล เกียรติสุนทร (2532 : 62 ) ได้กล่าวถึงข้อสังเกตจากการวิจัยว่า เด็กมักจะแสดงพฤติกรรมการแบ่งปันและให้ของกินของใช้ ส่วนใหญ่เด็กไม่ค่อยจะแบ่งให้เพื่อน แต่อย่างไรก็ตาม เด็กที่ไม่ค่อยแสดงพฤติกรรมการแบ่งปันหรือให้ ก็แสดงพฤติกรรมแบบอื่น เช่น การช่วยเหลือ การปลอบโยน

1.3.3 ลักษณะความต้องการทางสังคมของเด็กปฐมวัย
พรรณี ชูทัย เจนจิต (2537 : 157 –158) ได้กล่าวว่า เด็กในช่วงอายุนี้ เรียนรู้ที่จะติดต่อสมาคมกับคนอื่น ๆ นอกบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนวัยเดียวกันและเด็กเริ่มเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับเพื่อน ๆ ลักษณะความต้องการทางสังคมของเด็กปฐมวัยมีดังนี้
1. เด็กเริ่มมีความต้องการที่จะสร้างสัมพันธภาพกับเพื่อนในวัยเดียวกัน และมีเพื่อนเพียง 1 – 2 คน และเป็นเพศเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรเด็กมักมีสังคมไม่แน่นอน สามารถเล่นกับเพื่อนส่วนใหญ่ในชั้นด้วยความเต็มใจ
2. มีความต้องการที่จะเล่นกับเพื่อนกลุ่มเล็ก ๆ และเปลี่ยนกลุ่มบ่อย ๆ การเล่นเป็นไปในลักษณะต่างคนต่างเล่น แม้ว่าจะอยู่ในกลุ่มเดียวกันก็ตาม
3. มีการทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อย ๆ แต่เป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เด็กมักจะลืมง่าย
4. เด็กมีความต้องการที่จะแสดงออกและจะสนุกสนานกับการเล่นละคร ซึ่งเขาอาจแต่งขึ้นเอง หรือเลียนแบบรายการโทรทัศน์
5. เด็กชายและเด็กหญิง มีความสนใจคล้ายกัน และยังไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาททางเพศ
6. เด็กต้องการเป็นที่ยอมรับของผู้ใหญ่และกลุ่มเพื่อน ต่างจากวัยทารกซึ่งกลัวคนแปลกหน้า
สรุปว่า เด็กมีความต้องการเล่นกับเพื่อน ต้องการแสดงออก โดยการเล่นละครที่แต่งขึ้นเองหรือเลียนแบบและต้องการเป็นที่ยอมรับของผู้ใหญ่ ซึ่งการเปิดโอกาสให้เด็กได้เล่นละคร โดยมีครูเป็นผู้กระตุ้นชักนำ โดยการจัดประสบการณ์และจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม จะเป็นการเอื้อต่อการพัฒนาทุกด้านอย่างเป็นระบบ รวมทั้งพฤติกรรมด้านสังคม อันจะนำมาสู่การแสดงพฤติกรรมอย่างเหมาะสม
1.3.4 แนวทางส่งเสริมพฤติกรรมทางสังคม
การส่งเสริมพฤติกรรมทางสังคมให้กับเด็กเป็นการพัฒนาพฤติกรรมใหม่ให้เกิดกับเด็กอาจทำได้ดังนี้
1. การปรับพฤติกรรมของเด็ก ต้องให้เด็กค่อย ๆ ปรับพฤติกรรมทีละน้อยด้วยการเสริมแรง เช่น ให้การเสริมแรงเวลาที่เด็กแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม หรือเมื่อเด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ
2. การพัฒนาพฤติกรรมโดยให้แบบที่ดี การให้เด็กเห็นตัวอย่างที่ดี จะช่วยให้เด็กเลียนแบบตาม เด็กมักจะชอบเลียนแบบคนที่เด็กชื่นชม เช่น พ่อแม่ ครู ญาติ พี่น้อง เพื่อน นักกีฬา ตัวละครในนิทานและผู้ที่มีชื่อเสียง
3. การให้สัญญาณเตือนพฤติกรรม โดยการแสดงออกด้วยวาจาหรือท่าทางว่าเด็กควรทำหรือไม่ด้วยคำพูดหรือการพยักหน้า เป็นการให้สัญญาณเตือนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมก่อนที่เด็กจะทำอะไรลงไป จะดีกว่าการติเตียนเมื่อเด็กทำอะไรผิดลงไปแล้ว (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช. 2544 : 31 –35)
ประมวล ดิกคินสัน (2527 : 107) กล่าวถึงแนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมทางสังคมสำหรับเด็กปฐมวัยไว้ดังนี้
1. การกำหนดตารางกิจกรรมประจำวันอย่างเหมาะสมและต่อเนื่องกัน จัดกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงาน และกิจกรรมที่ผ่อนคลายสลับกัน ทำให้เด็กไม่เบื่อหน่ายมีบรรยากาศการเรียนที่ดี การที่เด็กรู้ตารางกิจกรรมประจำวันและสิ่งที่ครูคาดหวังให้เด็กทำจะทำให้เกิดความเป็นระเบียบและมีความรู้สึกมั่นใจ การเสริมแรงทันทีที่เด็กแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมจะช่วยให้เด็กมีพฤติกรรมที่สังคมยอมรับ
2. การเสริมแรงพฤติกรรมทางสังคมแก่เด็กปฐมวัย ควรพูดให้ชัดเจนว่า เด็กได้แสดงพฤติกรรมที่ดีอย่างไร เช่น “ เธอใจดีจังที่ช่วยมานะเช็ดสีที่หกบนพื้น” การชมเชยของครูมีคุณค่าสำรับเด็กส่วนใหญ่ เพราะเป็นตัวอย่างที่ดี เด็กมักจะเอาอย่าง ในบางครั้งอาจใช้ท่าทางแทนการเสริมแรงด้วยวาจาตามความเหมาะสม
3. การให้รางวัล การส่งเสริมความร่วมมือและการช่วยเหลือกันนับว่าเป็นพฤติกรรมทางสังคมที่ควรส่งเสริม ตัวอย่างเช่น “ ถ้าแต่ละกลุ่มช่วยกันดูแลห้องให้เรียนร้อยภายใน 5 นาที ครูจะเล่านิทานสนุก ๆ ให้ฟัง 1 เรื่อง “ การเสริมแรงที่กล่าวมาเป็นการเสริมแรงจากภายนอกหรือจากผู้อื่น เป็นการกระตุ้นให้เด็กช่วยกันทำงานจนสำเร็จตามเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาด้านสังคม เพื่อมุ่งให้เด็กทำในสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จด้วยตัวเอง เกิดความพอใจและภูมิใจในผลงานที่เด็กทำได้ ซึ่งเป็นการเสริมแรงจากภายในตัวเด็กเอง
4. การเสริมความเป็นอิสระ พัฒนาการทางสังคมที่เห็นเด่นชัดในโรงเรียนคือการที่เด็กสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองและรับผิชอบสิ่งที่ตนทำ ครูควรให้การเสริมแรงในพฤติกรรมที่เด็กแสดงออกอย่างเหมาะสม ครูไม่ควรใช้คำพูดที่คุกคามหรือข่มขู่ แต่ควรบอกกล่าวให้ทุกคนทราบเงื่อนไข เช่น “ ใครที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว แสดงว่าพร้อมที่จะรับประทานอาหารกลางวัน” หรือ “ ใครที่ทำผนังเลอะคนนั้นต้องทำความสะอาด”
5. ส่งเสริมให้เด็กรู้และสนใจความรู้สึกของผู้อื่น การส่งเสริมให้เด็กมีพฤติกรรมการช่วยเหลือ นับว่ามีความเหมาะสม เพราะช่วยให้เด็กเอาใจใส่ในความต้องการของผู้อื่น รับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น โดยครูชมเชย ชวนให้เด็กสนใจการกระทำที่แสดงถึงความมีน้ำใจหรือแนะนำให้เด็กแบ่งปัน ร่วมมือและให้ความช่วยเหลือผู้อื่น
จากแนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมดังกล่าว การส่งเสริมพฤติกรรมทางสังคมที่เหมาะสมมีหลายวิธีการ วิธีการปฏิสัมพันธ์ของครูกับเด็ก เช่น การเสริมแรง การชมเชย วิธีจัดกิจกรรมให้เด็กมีความรับผิดชอบ ร่วมมือ แบ่งปัน ช่วยเหลือ โดยส่งเสริมอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม วิธีการเหล่านี้จะส่งเสริมให้เด็กมีพฤติกรรมการแสดงออกในด้านการรับรู้ความต้องการของผู้อื่น การแก้ปัญหา การร่วมกิจกรรมกับผู้อื่น ซึ่งจะเป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของสังคมที่ควรส่งเสริมให้เกิดกับเด็กปฐมวัย
1.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทางสังคม
งานวิจัยต่างประเทศ
ฮาโลว์ ( Halow. 1932 : 174) ทำการทดลองพบว่า การมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างเด็กกับเพื่อนในวัยเด็กตอนต้น จะมีผลต่อพฤติกรรมทางสังคมเมื่อเด็ก เมื่อเด็กโตขึ้น (Goslin. 1962 : 283-296) พบว่าเด็กเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อนจะมีลักษณะคล่องแคล่ว ว่องไว สนใจต่อสิ่งรอบตัว ร่าเริง เข้ากับคนง่าย เชื่อมั่นในตนเอง ไวต่อความรู้สึกและสนใจผู้อื่น
ซาโลเม (Salome. 1979 : 1349) ได้วิจัยถึงความแตกต่างของปฏิสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยระหว่างเด็กหญิงกับเด็กชายในแง่ของ 1. วิธีการที่ใช้ในการเข้ากลุ่ม 2. วิธีที่ใช้ในการรวมกับเด็กอื่นเป็นกลุ่มและ 3. การมีส่วนร่วมเล่นในกลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กอายุ 4 – 5 ปี จำนวน 30 คน เป็นชายและหญิงเท่ากัน จากการสังเกตพฤติกรรมในขณะที่เด็กเล่นกับกลุ่มเพื่อนครั้งละ 10 นาที โดยสังเกตเด็กทีละคนรวมเวลาที่สังเกตคนละ 70 นาที ตลอดเวลา 5 สัปดาห์ ขณะสังเกตจะบันทึกเสียงแล้วนำไปวิเคราะห์พฤติกรรมผลการวิจัยพบว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างเด็กชายกับเด็กหญิงในด้านต่อไปนี้
1. วิธีการที่ใช้ในการเข้ากลุ่ม
2. วิธีการรวมเด็กอื่นเป็นกลุ่ม
3. การมีส่วนร่วมเล่นในกลุ่ม
แมรี (Mary. 1981 : 4603)ได้ศึกษาปฏิสัมพันธ์ของเด็กที่มีความสามารถในการเข้ากลุ่มเพื่อนในแง่ของความถี่ของพฤติกรรมและระยะเลาของการปฏิสัมพันธ์และวิธีการเข้ากลุ่มเพื่อนรวมทั้งความรู้สึกและการเข้ากลุ่มไม่ได้ กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กอายุ 4 ปี จำนวน 40 คน เป็นชาย 20 คน และหญิง 20 คน วิธีการศึกษาใช้เทคนิคสังคมมิติบันทึกพฤติกรรมขณะเล่นด้วยวีดีโอเทปคนละ 1 นาที แล้วนำมาตีความจากนั้นนำมาจัดเป็นประเภทพฤติกรรมผลการวิจัยปรากฏว่า เด็กที่มีความสามารถในการเข้ากลุ่มเพื่อนมากมีปฏิสัมพันธ์มากกว่าและใช้เวลาในการปฏิสัมพันธ์ยาวนานกว่าเด็กที่มีความสามารถในการเข้ากลุ่มเพื่อนน้อย เด็กที่มีความสามารถในการเข้ากลุ่มเพื่อนจะใช้พฤติกรรมปฏิสัมพันธ์หลายวิธีและวิธีการที่เข้ากลุ่มแล้วไม่ได้ผลน้อยกว่าเด็กที่มีความสามารถน้อยกว่าและใช้พฤติกรรมทางบวกมากกว่า ส่วนเด็กที่มีความสามารถน้อยกว่าจะใช้วิธีการทางลบมากกว่า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของวิธีการที่ใช้ในการเข้ากลุ่มเพื่อนในแง่ของวิธีการลบกับวิธีที่ไม่ได้ผล
บลาล็อค (Blalock. 1984 : 172) ได้ศึกษาการสังเกตเด็กอนุบาล 2 ห้อง นักเรียนจำนวน 36 คนในขณะที่เด็กกำลังเล่นอย่างอิสระและใส่รหัสพฤติกรรมเด็ก (Child Behavior code) ครูผู้สอนเป็นผู้ตอบแบบสอบถามและทำนายสถานภาพเด็กแต่ละคน ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงสหสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญระหว่างคะแนนการยอมรับทางสังคมมิติ (Socia Metic) ของเด็กกับการทำนายการยอมรับเพื่อนที่ถูกทำนาย และเด็กที่มีผลกระทบทางสังคมมิติ(Socia Metic) สูง ตอบคำถามปลายเปิดน้อยและแสดงความรัก ความรู้สึกทางคำพูดกับเพื่อนน้อย
งานวิจัยในประเทศ
อรวรรณ สุ่มประดิษฐ์ (2533 : 77) ได้ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมความเอื้อเฟื้อความมีระเบียบวินัย และระดับขั้นการเล่นทางสังคมสูงของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเล่นแบบและการเล่นที่จัดอยู่ทั่วไป โดยศึกษากับเด็กอายุ 5 – 6 ปี จำนวน 30 คน โดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรมด้านความเอื้อเฟื้อ และแบบบันทึกระดับการเล่นทางสังคม ซึ่งแบ่งเป็น 5 ระดับ คือ 1. ระดับเล่นคนเดียว 2. ระดับมองดูคนอื่นเล่น 3. ระดับเล่นคู่ขนาน 4. ระดับเล่นรวมกับเพื่อน 5. ระดับเล่นร่วมกับเพื่อนอย่างมีจุดหมาย ผลการศึกษาพบว่าเด็กปฐมวัยที่ได้รับการเล่นแบบทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญแตกต่างจากเด็กปฐมวัยที่ได้รับการเล่นแบบทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ณัฏฐาพร พงษ์สิงห์ (2539 : บทคัดย่อ) ศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรมชอบสังคมของเด็กปฐมวัยที่ได้รับประสบการณ์การเล่นบล็อกแจ้งอย่างอิสระ กลุ่มตัวอย่างมีแบบแผนกับเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเล่นบล็อกกลางแจ้งอย่างอิสระ กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กอนุบาล 2 อายุ 5 – 6 ปี จำนวน 30 คน โดยกลุ่มทดลองจะได้รับประสบการณ์การเล่นบล็อกอย่างอิสระ ผลการศึกษา พบว่า พฤติกรรมชอบสังคมของเด็กปฐมวัยที่ได้รับประสบการณ์การเล่นบล็อกกลางแจ้งอิสระแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
ศิริรัตน์ ชูชีพ (2544 : 37) ศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรมชอบสังคมของเด็กปฐมวัยก่อนจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวเชิงสร้างสรรค์ และหลังจากจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวเชิงสร้างสรรค์ในสัปดาห์ที่ 1 หลังจากจัดประสบการณ์เคลื่อนไหวเชิงสร้างสรรค์ใน 1 สัปดาห์ เด็กปฐมวัยมีพฤติกรรมชอบสังคมเพิ่มขึ้นจากก่อนจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวเชิงสร้างสรรค์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

2. เอกสารและงานวิจัยทื่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเสริมประสบการณ์
2.1 ความหมายของกิจกรรมเสริมประสบการณ์
กิจกรรมเสริมประสบการณ์ หมายถึงกิจกรรมที่เด็กส่วนใหญ่มาร่วมกันเพื่อทำกิจกรรมเดียวกัน (สำนักคณะกรรมการการศึกษาเอกชน. 2535 : 47) ดังนั้นในการจัดกิจกรรมให้กับเด็กต้องคำนึงถึงช่วงความสนใจของเด็กด้วย การจัดที่นั่งในการเรียนการสอนได้เหมาะสมจะช่วยให้เด็กมีความสนใจดีขึ้น การจัดเก้าอี้ในลักษณะรูปวงกลม ในขณะที่ครูให้เนื้อหานั้นจะเป็นการช่วยให้เด็กได้นั่งใกล้ชิด และครูสามารถจัดกิจกรรมที่เป็นการเปลี่ยนอิริยาบทของเด็กได้ง่ายอีกด้วย ทำให้เด็กสนใจในการเรียนขึ้นมาก การจัดเป็นวงกลมนี้อาจจัดให้นั่งบนเก้าอี้ หรือนั่งบนพื้นที่สะอาดได้ แต่ถ้าเด็กนั่งกับพื้นครูควรนั่งกับพื้น และถ้าเด็กนั่งบนเก้าอี้ครูก็ต้องนั่งบนเก้าอี้เพื่อให้เด็กเห็นครู และสื่อที่ใช้สอนอยู่ในระดับสายตาของเด็ก นอกจากนี้การจัดกิจกรรมโดยนั่งล้อมวงเป็นวงกลมยังช่วยให้ทุกคนมองเห็นกันอย่างทั่วถึงด้วย (สำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ. 2533 : 22)
กิจกรรมเสริมประสบการณ์ เป็นกิจกรรมหนึ่งที่มุ่งเน้นให้เด็กให้เด็กได้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ ฝึกการทำงานและการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ทั้งกลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ กิจกรรมที่จัดมุ่งฝึกให้เด็กได้มีโอกาส ฟัง พูด สังเกต คิด แก้ปัญหา ใช้เหตุผลและฝึกปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับเรื่องที่เรียน โดยจัดกิจกรรมด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น สนทนา อภิปราย สาธิต ทดลอง เล่านิทาน เล่นบทบาทสมมติ ร้องเพลง ท่องคำคล้องจอง ศึกษานอกสถานที่ เชิญวิทยากรมาให้ความรู้ (กรมวิชาการ. 2540 : 36)
จากความหมายดังกล่าวมาข้างต้น สรุปว่ากิจกรรมเสริมประสบการณ์เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อให้เด็กเข้าใจเนื้อหาและเรื่องราวในแผนการจัดประสบการณ์และให้เด็กมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครู โดยครูจะได้ดูพฤติกรรมของเด็กอย่างใกล้ชิดทั่วถึง
2.2 ความสำคัญของกิจกรรมเสริมประสบการณ์
การจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ มีความสำคัญต่อเด็กปฐมวัยมากเพราะเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กได้เข้าใจเนื้อหา กิจกรรมนี้เปิดโอกาสให้เด็กทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่เรียน กิจกรรมเสริมประสบการณ์ ช่วยให้เด็กได้มีความคิดรวบยอดที่ชัดเจน ซึ่งเป็นการพัฒนาทักษะทางสติปัญญาให้เด็กมีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับเนื้อหน่วยการสอน ตลอดจนส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคมฝึกการกล้าแสดงออก นอกจากนั้นยังช่วยเด็กให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครู (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน. 2535 : 47)
ในการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์นี้มีการนำเอาเนื้อหาและรายการประสบการณ์จากแนวการจัดประสบการณ์มาบูรณาการการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของการส่งเสริมพัฒนาการทุกด้านทั้ง 4 ด้าน โดยยึดลำดับขั้นตอนการเรียนรู้ โดยคำนึงถึงสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเด็ก เช่น พืชผัก ผลไม้ สัตว์ ตลอดจนคำนึงถึงเทศกาล วันสำคัญ ฤดูกาล ซึ่งการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์นี้เป็นแกนในการจัดหน่วยการเรียนการสอน (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. 2529 : 22)
จากความหมายดังกล่าวสรุปได้ว่าความสำคัญของกิจกรรมเสริมประสบการณ์ คือ การเปิดโอกาสให้เด็กได้ฝึกฝนการคิด ได้แสดงออกอย่างอิสระร่วมกับเพื่อนและสื่อต่าง ๆ และสามารถนำเอาความรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์มาใช้ในการแก้ปัญหาของตนได้จากการเล่นโดยให้เด็กเป็นผู้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง

2.3 รูปแบบและเทคนิคของการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2533 : 4) ได้กล่าวว่า การจัดประสบการณ์และกิจกรรมให้กับเด็กในกิจกรรมในวงกลมนี้จะนำเนื้อหาและประสบการณ์มาบูรณาการกิจกรรมการเรียนการสอนซึ่ง วันทนีย์ เหมาะผดุงกุล (2539 : 22) กล่าวว่า การจัดประสบการณ์แบบบูรณาการหมายถึง การจัดประสบการณ์ในเนื้อหาวิชาการต่าง ๆ หลายวิชามีความสัมพันธ์กันต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน ครูอาจใช้วิธีสอนหลายรูปแบบ เช่น การอภิปราย การเล่านิทาน การศึกษานอกสถานที่ การสาธิต การปฏิบัติการทดลอง การเล่นเกม เป็นต้น ดังนั้น การจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ จึงสามารถใช้วิธีสอนได้หลายรูปแบบแต่ละรูปแบบซึ่ง ไพเราะ พุ่มมั่น (ม.ป.ป. อ้างอิงใน ศิรประภา พินิตตานนท์. 2546 : 10) ได้ให้รายละเอียดดังนี้
เทคนิคการจัดประสบการณ์ มีหลายรูปแบบ ได้แก่
1. เทคนิคการเล่าเรื่อง ข่าว เหตุการณ์
2. เทคนิคการเล่นบทบาทสมมติ
3. เทคนิคการเล่านิทาน
4. เทคนิคการจัดประสบการณ์ปฏิบัติการหรือทดลอง
5. เทคนิคการสาธิต
6. เทคนิคทักษะกระบวนการกลุ่ม
7. เทคนิคดารอภิปราย/สนทนา
8. เทคนิคทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
9. เทคนิคการใช้เกม
10. เทคนิคการศึกษานอกสถานศึกษา
11. เทคนิควิธีการอื่น ๆ เพื่อใช้สอดแทรกการจัดประสบการณ์ต่าง ๆ ข้างต้น เช่น เทคนิคปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็ก การใช้คำถาม การร้องเพลง การท่องคำคล้องจอง การใช้ท่าทางการชมเชยให้กำลังใจเด็ก การเตรียมเด็กให้สงบ (การเก็บเด็ก)
2.4 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์
งานวิจัยต่างประเทศ
ไบรเอ้นท์และฮังเกอร์ฟอร์ด (Bryant and Hungerford. 1999 : 44 - 49) ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์กลวิธีสอนความคิดรวบยอด และค่านิยมทางสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนอนุบาลโดยทดลองสอนเรื่องสิ่งแวดล้อมและปัญหามลภาวะ ใช้เวลาทดลอง 1 เดือน ผลปรากฏว่า เด็กอนุบาลสามารถสร้างความคิดรวบยอดเกี่ยวกับผลสืบเนื่องของสิ่งแวดล้อม และสำนึกในหน้าที่ของพลเมืองที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและได้วิเคราะห์ว่า ความสำเร็จในการสร้างความคิดรวบยอด และค่านิยมขึ้นอยู่กับการพัฒนาการสอน ผู้สอนจะต้องให้ความรู้อย่างเพียงพอ และกระตุ้นให้เด็กรู้จักคิดเกี่ยวกับหน้าที่ของตนเองและผู้อื่น สิ่งที่สำคัญที่ควรพิจารณาคือ ต้องสอนให้เด็กเข้าใจสิ่งแวดล้อมก่อนที่จะสอนถึงผลสืบเนื่องของปัญหาสิ่งแวดล้อม
งานวิจัยในประเทศ
อุบล เวียงสมุทร ( 2540 : 63-75) ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบความพร้อมทางภาษาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเล่าเรื่องประกอบหุ่นมือโดยใช้ภาษากลางควบคู่กับภาษาถิ่น และเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเล่าเรื่องประกอบหุ่นมือโดยใช้ภาษากลาง โดยศึกษากับเด็กอายุ 5 – 6 ปี จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน กลุ่มควบคุม 30 คน การทดลองใช้เวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 20 นาที ผลการทดลองพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเล่าเรื่องประกอบหุ่นมือโดยใช้ภาษากลางควบคู่ภาษาถิ่น มีความพร้อมทางภาษาแตกต่างจากเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเล่าเรื่องประกอบหุ่นมือโดยใช้ภาษากลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
เนื้อน้อง สนับบุญ (2541 : 131) ได้ศึกษาเปรียบเทียบความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์เล่านิทานที่เด็กเล่าเรื่องตามรูปจากหนังสือที่เด็กเลือดเอง เด็กเล่าเรื่องตามรูปจากหนังสือที่เลือกต่อกับเพื่อน และเด็กเล่านิทานตามรูปจากหนังสือที่เด็กเลือกต่อจากครู โดยศึกษากับเด็กอายุ 5 – 6 ปี จำนวน 45 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองที่ 1 จำนวน 15 คน กลุ่มที่ 2 จำนวน 15 คน และกลุ่มทดลองที่ 3 จำนวน 15 คน การทดลองใช้เวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 20 นาที ผลการทดลองพบว่า ความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ดารเล่าเรื่องตามรูปจากหนังสือที่เด็กเลือก เด็กเล่าเรื่องตามรูปจากหนังสือที่เด็กเลือกต่อกับเพื่อน และเด็กเล่าเรื่องตามหนังสือที่เด็กเลือกต้อจากครู มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001
สนธยา อ่อนน้อม (2538 : 96) ได้ศึกษาเกี่ยวกับผลของการเสริมแรงในกิจกรรมการเล่าเรื่อง ที่มีต่อความเชื่อมั่นในตนเองของเด็กปฐมวัย พบว่าเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่าเรื่องแบบครูให้การเสริมแรงมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงกว่าเด็กที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่าเรื่องแบบปกติ
อรุณี เอี่ยมพงษ์ไพฑูรย์ (2538 : 54) ได้ศึกษาความพร้อมทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย พบว่าเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมสนทนาโดยการเสริมประสบการณ์คณิตศาสตร์ประกอบสื่อกับเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมสนทนาโดยการเสริมประสบการณ์คณิตศาสตร์ประกอบคำถาม มีความพร้อมทางคณิตศาสตร์ด้านความสามารถในการคิดคำนวณและความสามารถในการใช้เหตุผลแตกต่างกัน
จากงานวิจัยการจัดประสบการณ์กิจกรรมสำหรับเด็กปฐมวัยมีหลายลักษณะและในการจัดกิจกรรมก็สามารถจัดได้หลายรูปแบบ เช่น การปฏิบัติทดลอง การเล่าเรื่องประกอบหุ่นมือ การเล่าเรื่องตามรูปจากหนังสือ การใช้ปริศนาคำทายและเพลง ทำให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาสูงขึ้น ซึ่งเป็นพัฒนาการที่สามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงในระดับต่อไป

3. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
3.1 ความหมายของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
สุเมธ ตันติเวชกุล (2541 : 21) ได้ให้ความหมายของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงว่า เศรษฐกิจที่สามารถอุ้มชูตัวเองได้ให้มีความพอเพียงกับตัวเอง (Self Sufficience) อยู่ได้โดยไม่ต้องเดือดร้อน ซึ่งสร้างพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจของตนให้ดีเสียก่อน คือ สามารถให้ตัวเองอยู่ได้อย่างพออยู่พอใช้ได้มุ่งที่จะสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจให้เจริญแต่เพียงอย่างเดียวเพราะผู้สามารถมีอาชีพ และฐานะที่พอพึ่งตนเองได้ก็ย่อมจะสร้างความเจริญก้าวหน้าและฐานะทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นไปตามลำดับอย่างมั่นคงถาวรตลอดไป
ประเวศ วะสี (2541 : 16) ได้อธิบายถึง เศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพื้นฐาน เศรษฐกิจชุมชนว่าถ้าสังคมไทยทำความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจพื้นฐานกันอย่างทั่วถึงเราสามารถขจัดความยากจนของคนทั้งประเทศ พร้อมกับสร้างฐานทางสังคมและธรมชาติแวดล้อมให้ฟื้นฟูบูรณะเพิ่มขึ้นเต็มประเทศ ความขัดแย้งที่พื้นฐาน ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จะส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจในระดับบนมั่นคงและยั่งยืนเศรษฐกิจพื้นฐานหรือเศรษฐกิจชุมชน หรือเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสถึงเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2540 มีความหมายคล้ายคลึงหรือเหมือนกัน
เศรษฐกิจพื้นฐาน หมายถึง เศรษฐกิจที่คำนึงถึงการทะนุบำรุงพื้นฐานของตัวเองให้เข้มแข็งทั้งทางสังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจพื้นฐานของสังคมก็คือ ชุมชม เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจพื้นฐานกับเศรษฐกิจชุมชนคืออย่างเดียวกัน
เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง พอเพียงสำหรับทุกคน มีธรรมชาติพอเพียง มีความรักพอเพียง มีปัญญาพอเพียง เมื่อทุกอย่างพอเพียงก็เกิดความสมดุล จะเรียกว่าความสมดุลก็ได้ เมื่อสมดุลเป็นปกติ สบายไม่เจ็บไม่ไข้ ไม่วิกฤต เศรษฐกิจพื้นฐานกับเศรษฐกิจชุมชนล้วนมุ่งไปสู่ เศรษฐกิจพอเพียง ข้อสำคัญ เมื่อพูดถึงเศรษฐกิจพื้นฐานต้องไม่มองเรื่องเศรษฐกิจแบบแยกส่วน แต่เป็นเศรษฐกิจที่อยู่บนความเข้มแข็งของสังคมหรือชุมชน อาศัยการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเป็นเครื่องมือพัฒนาเศรษฐกิจเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ
ลักษณะ 5 ประการของเศรษฐกิจพื้นฐาน (ประเวศ วะสี. 2541 : 20 - 22)
1. เป็นเศรษฐกิจสำหรับคนทั้งมวล ไม่ใช่เศรษฐกิจที่ให้ความร่ำรวยให้คนส่วนน้อย แต่ทิ้งคนส่วนใหญ่ให้ยากจน
2. มีพื้นฐานอยู่ที่ความเข้มแข็งของชุมชน
3. มีความเป็นบรรณาการ คือไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจโดด ๆ แต่เชื่อมโยงกับสังคม
วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมพร้อมกันไป
4. อยู่บนพื้นฐานความเข้มแข็งของตนเอง
5. การจัดการและนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มเติมความก้าวหน้าให้แก่เรื่องพื้นฐาน ทำให้มีพลวัตอย่างไม่หยุดนิ่ง แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบพอเพียงเป็นทางรอดของสังคมไทยเป็นแนวคิดปัจจุบันในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและเชื่อว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเป็นการทำอะไรด้วยด้วยการพึ่งตนเองเป็นสำคัญ ต้องเติบโตอย่างมีทุกอย่างพอเพียงแบ่งปันพอเพียง มีตลาดพอเพียง มีวัตถุดิบพอเพียง มีความรู้พอเพียง มีการผลิตพอเพียงที่สำคัญคือ มีความดีพอเพียง และมีกฎหมายพอเพียง ไม่ใช่ทำอะไรแบบไปพึ่งคนอื่นเขาหมด เช่น การพยายามผลิตสินค้า ก็ต้องใช้วัตถุดิบของเราเองที่มีอยู่ ไม่ใช่ไปกู้หนี้ยืมสินเขามาลงทุน แต่ถ้าหากจำเป็นต้องมีการกู้ยืมแล้วจะต้องนำไปใช้ประกอบอาชีพ ไม่ใช่นำไปใช้จ่ายในทางอื่น เป็นต้น การทำเศรษฐกิจพอเพียงนั้น เราแข็งแรงตรงไหนก็ต้องเริ่มคิดจากตรงนั้นและเริ่มหาทุกสิ่งทุกอย่างที่มีพอเพียง โดยเฉพาะในชนบท ซึ่งมีพื้นฐานทางด้านการเกษตร การพึ่งตนเองได้แบบพออยู่พอกินของครอบครัวในชนบทคือปลูกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก มีเหลือก็ขาย พอขายก็มีเงินออม ดังนั้นการมีตลาดพอเพียงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่จะต้องมีองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่เข้าไปร่วมกับองค็กรชุมชนทำการค้าขายร่วมกัน เพื่อให้องค์กรชุมชนที่พึ่งตนเองได้จะมีฐานะพื้นฐานมาจากครอบครัวที่มีการบริโภคพอเพียงและมีเงินออมมารวมกัน เพื่อที่จะทำสวัสดิการร่วมกันผลิตร่วมกัน ค้าขายร่วมกัน กลายเป็นชุมชนที่พึ่งตนเองได้ สามารถดูแลครอบครัว ดูแลเด็ก คนชรา สามารถขยายงานรับคนว่างงานหรือญาติพี่น้องที่ตกงานได้ ดังนั้นเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่กระบวนการทางเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นกระบวนการทางด้านสังคมด้วย
จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง ความสามารถในการดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย อุ้มชุตัวเองได้ให้มีความพอเพียงกับตัวเอง รู้จักอดออม ไม่ฟุ่มเฟือย อยู่อย่างประมาณตน ใช้จ่ายไม่เกินรายรับ มีการผลิตเพื่อให้พอมีพอกินในครอบครัว และมีความเอื้อเฟื้อในชุมชน ทะนุบำรุงพื้นฐานตัวเองให้เข้มแข็งทั้งด้านสังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ
3.2 หลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (2543 : 11 –12 ) กล่าวถึงความสำคัญของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และแนวทางปฏิบัติตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงว่า “ความพอเพียง” หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีดอสมควรต้อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้ต้องอาศัยความรอบรู้และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนดำเนินการทุกขั้นตอน ขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม มีความพากเพียร อดทน “เกษตรทฤษฎีใหม่” เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตามแนว“เศรษฐกิจ
พอเพียง” แต่อย่างใด เพราะยังส่วนอื่น ๆ อีกมาก
สิปปนนท์ เกตุทัต (2543 : 2 – 3) กล่าวถึงการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นปรัชญานำทางในการนำไปสู่สังคมไทยที่พึงประสงค์ คือเป็นสังคมที่มีความเข้มแข็ง มีดุลยภาพทั้ง 3 ด้าน ได้แก่สังคมคุณภาพ สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ และสังคมสมานฉันท์และเอื้ออาทรตามกรอบวิสัยทัศน์ และทิศทางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545 – 2549) นั้นมีหลักปฏิบัติคือ ยึดทางสายกลาง การรู้จักพอประมาณ การมีภูมิคุ้มกันที่ดีและการรู้เท่าทันโลก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (2543 : 18) ได้กล่าวถึงการจัดทำแผนแม่บท เพื่อดำเนินงานให้สอดคล้องกับการปฏิรูปการจัดการศึกษาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 ว่ายึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวคิดปรัชญาหลัก โดยคำนึงถึงประเด็นดังต่อไปนี้
1. การดำเนินการทางสายกลางที่อยู่บนพื้นฐานความพอดี เน้นการพึ่งตนเอง ขณะเดียวกันให้ก้าวทันโลกยุคโลกาภิวัฒน์
2. ความพอเพียงที่เน้นการผลิตและการบริโภคอยู่บนความพอประมาณ มีเหตุผล
3. ความสมดุลและการพัฒนายั่งยืน เป็นการพัฒนาอย่างมีองค์รวม มีความสมดุลระหว่างกระแสการแข่งขันจากโลกโลกาภิวัฒน์ และกระแสท้องถิ่นนิยม มีความหลากหลายในโครงสร้างการผลิต มีการใช้ทุนที่มีอยู่ในสังคมให้มีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ภูมิปัญญาและวิถีชีวิตที่ดีงาม
4. การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรในการเตรียมความพร้อม รู้เท่าทันต่อผลกระทบที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มีความยืดหยุ่นในการปรับตัว มีการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล มีความเข้มแข็งมั่นคงและยั่งยืน
5. การเสริมสร้างจิตใจคนและพัฒนาคนในชาติให้เป็นคนดี มีคุณธรรม มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ สุจริต มีสติปัญญา มีความเพียร อดทนและรอบคอบ
จากความหมายของ ”เศรษฐกิจพอเพียง” และแนวทางปฏิบัติที่สำคัญสรุปได้ว่า
”หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวทางการดำรงชีวิตของบุคคลไปจนถึงแนวทางการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ขององค์กรทุกระดับ โดยมีแนวปฏิบัติที่เป็นหลักสำคัญ คือ การยึดทางสายกลาง ซึ่งประกอบด้วย ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการสร้างระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีต้อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากความเปลี่ยนแปลง สำหรับการสร้างภูมิคุ้มกันนั้นต้องอาศัยความรอบรู้ และรอบคอบในการดำเนินงานทุกขั้นตอน รวมทั้งการเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจให้มีสำนึกในคุณธรรม ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จึงมีแนวทางปฏิบัติที่ยึดทางสายกลาง ดังนี้
1. การบริโภคด้วยปัญญา ได้แก่ การมีเหตุผลในการเลือกใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า เลือกกิน เลือกใช้ เลือกของเล่นที่ผลิตด้วยตนเอง หมายถึงสิ่งที่ตนเองผลิต หรือสิ่งของที่ผลิตในประเทศ
2. การพึ่งพาตนเองได้แก่ การรู้จักช่วยเหลือตนเอง มีความรอบคอบในการปฏิบัติงานต่าง ๆ ด้วยตนเอง มีความรู้ที่นำมาใช้และพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้ ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม (2546 :150) ได้ให้ความหมายของการพึ่งพาตนเองไว้ดังนี้
2.1 การพึ่งพาตนเองเป็นสภาวะ หมายถึง ความสามารถของคนที่จะช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด โดยไม่เป็นภาระคนอื่นมากเกินไป มีความสมดุล ความพอดีในชีวิต เป็นสภาวะทางจิตที่เป็นอิสระ มีความพอใจในชีวิตที่เป็นอยู่ มีสิ่งจำเป็นอันเป็นปัจจัยสี่พอเพียง เป็นความพร้อมของชีวิตทั้งร่างกายและจิตใจ
2.2 การพึ่งตนเอง หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อม เราไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยีสมัยใหม่ ถ้าสิ่งนั้นสนับสนุนให้เรามีเวลามากพอที่จะเริ่มสร้างสิ่งที่เราทำด้วยความยากลำบากให้มันง่ายขึ้น ฉะนั้น เราจะใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างสิ่งที่เอื้อต่อการพึ่งตนเองแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ถ้าใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวก จนทำให้เราพึ่งตนเองไม่ได้ก็ไม่น่าถูกต้อง
2.3 การพึ่งตนเอง หมายถึง การมีสวัสดิการและความมั่นคงให้กับชีวิตของตนเองในปัจจุบันจนถึงอนาคต สวัสดิการตัวนี้พร้อมที่จะตอบสนองเราทันที โดยที่ไม่ต้องเรียกร้องให้ใครมาจัดสวัสดิการให้ หรือให้ใครมาช่วยเหลือ เราสามารถที่จะช่วยตนเองหรือพึ่งพาตนเองได้ในโอกาสนั้น ๆ
2.4 การพึ่งตนเอง เป็นการจัดชีวิตให้สัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม สมพันธ์กับคน สังคม ธรรมชาติรอบตัว
3. การประหยัด ได้แก่ การมีความพอประมาณในการใช้ทรัพยากรตามความจำเป็นในการดำเนินงานหรือความจำเป็นขั้นพื้นฐานของครอบครัว รู้จักรักษาสมบัติของตนเองและของโรงเรียนจะเห็นได้ว่า เศรษฐกิจพอเพียงแบบพอเพียงเป็นทฤษฎีและหลักการที่จะเป็นแนวทางให้คนไทยทุกคน สามารถดำรงชีพอยู่ได้อย่างมั่นคง บนกระแสของความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยี
3.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
นันทา ชุติแพทย์วิภา (2545 : 104 –109) ได้ศึกษาเรื่องของผลการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนพระมารดากิจจานุเคราะห์ เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2544 ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์การเรียนวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เพราะปัจจัยเกี่ยวกับการสร้างองค์ความรู้และรูปแบบการสอนแบบการให้สืบค้นก่อนการทดลอง การลงมือปฏิบัติด้วยการทำโครงการที่มีการดำเนินงานตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การสรุปผลการทดลองด้วยการเขียนผังมโนมติ และการนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าด้วยแฟ้มสะสมผลงาน
ทักษะการจัดการสิ่งแวดล้อมของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจแบบพอเพียง หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เพราะปัจจัยเกี่ยวกับลักษณะของกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการฝึกตามขั้นตอนของการจัดการ ซึ่งผู้เรียนจะเกิดทั้งทางด้านการวางแผนและการนำไปปฏิบัติจริง และระยะเวลาในการฝึกการวางแผนและปฏิบัติตามโครงการจนเกิดความชำนาญ และจิตสำนึกต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลังการเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เพราะปัจจัยเกี่ยวกับการสร้างองค์ความรู้ด้วยการบูรณาการความรู้ ทักษะต่าง ๆ และคุณธรรม
จริยธรรมเข้าด้วยกัน เพื่อให้นักเรียนได้เห็นแนวทางการนำความรู้ไปใช้ เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและระยะเวลาที่จะให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติกิจกรรมจนสามารถบอกคุณค่าของสิ่งที่ปฏิบัติได้
พระขวัญชัย ศรีพรรณ์ (เกตุธมโม) (2546 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเปรียบเทียบการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการใช้แนวคิดตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนวิชาพุทธศาสนา โดยการใช้หลักการสอนแบบอริยสัจกับการสอนแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์
ผลการวิจัยพบว่า
1. นักเรียนที่เรียนวิชาพุทธศาสนา โดยใช้การสอนแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2. นักเรียนที่เรียนวิชาพุทธศาสนา โดยใช้การสอนแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ มีการใช้แนวคิดตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
สมพร พงษ์เสถียรศักดิ์ (2546 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการประพฤติตนตามคุณธรรมในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 ที่เรียนหลักธรรมในพระพุทธศาสนา โดยการสอนแบบโยโสมนสิการกับการสอนแบบไตรสิกขา
ผลการวิจัยพบว่า
1. นักเรียนที่เรียนหลักธรรมในพระพุทธศาสนาด้วยการสอนแบบโยโสมนิสการกับการสอนแบบไตรสิกขา มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
2. นักเรียนที่เรียนหลักธรรมในพระพุทธศาสนาด้วยการสอนแบบโยโสมนิสการกับการสอนแบบไตรสิกขา มีการประพฤติตนตามคุณธรรมในปรัชญาเศรษฐกิจแบบพอเพียงแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
นภัสวรรณ ชื่นฤาดี (2550 : 88 – 90) ได้ศึกษาการพัฒนาสาระการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย ตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจแบบพอเพียง ของนักเรียนหญิงอายุ 5 – 6 ปี ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ปีการศึกษา 2549 ของโรงเรียนอัสสัมชัญศึกษา กรุงเทพมหาคร
ผลการวิจัยพบว่า
สาระการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจริงในห้องเรียน สร้างพื้นฐานคุณลักษณะ 3 ด้าน คือ ด้านการบริโภคด้วยปัญญา ด้านการพึ่งตนเอง และด้านการประหยัด
1. คุณลักษณะด้านการบริโภคด้วยปัญญา เด็กเลือกบริโภคสิ่งที่มีประโยชน์และมีคุณค่าต่อตนเอง สามารถรับประทานอาหารไทย ขนมไทย ซึ่งเป็นพื้นฐานของภูมิปัญญาไทยได้ มีแนวคิดในการผลิตและบริโภคสิ่งที่ตนเองผลิต เป็นการเรียนรู้ตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจแบบพอเพียง
2. คุณลักษณะด้านการพึ่งพาตนเอง เด็กมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ให้ความร่วมมือและช่วยเหลือในการปฏิบัติงาน การปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ จนสำเร็จ ดูแลรักษาความสะอาดบริเวณที่ทำกิจกรรม เก็บเครื่องมือ เครื่องใช้เข้าที่ได้เรียบร้อยด้วยตนเองหลังการเล่นและการใช้งาน
3. คุณลักษณะด้านการประหยัด เด็กมีความระมัดระวังในการใช้สื่อ – อุปกรณ์ เพื่อไม่ให้เกิดการเสียหาย สามารถใช้วัสดุ – อุปกรณ์ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น นำวัสดุมาประดิษฐ์ของใช้ได้ มีความพอประมาณในการกิน การใช้ซึ่งสาระการเรียนรู้ตามคุณลักษณะพื้นฐานเศรษฐกิจแบบพอเพียง เมื่อวิเคราะห์ด้วยกรอบของหลักสูตการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 สาระที่เกิดขึ้นครอบคลุมหลักสูตรส่งเสริมให้เด็กเกิดพัฒนาการโดยองค์รวมทั้งทางด้านร่างกาย คือ ความแข็งแรง ความยืดหยุ่น การทำงานประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อเล็ก – กล้ามเนื้อใหญ่ ด้านจิตใจ – อารมณ์ เด็กเกิดความสุขในการปฏิบัติกิจกรรม การแสดงออกอย่างอิสระ ด้านสังคม เด็กเรียนรู้การทำงานกลุ่ม การเรียนรู้การอยู่ร่วมกันบนวิถีทางประชาธิปไตยและการแบ่งปันประสบการณ์วิถีไทยของตนเอง ด้านสติปัญญา เด็กเกิดกระบวนการคิด พิจารณา ไตร่ตรอง เก็บรวบรวมข้อมูลอย่างมีเหตุผล ใฝ่รู้ ใฝ่เรียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาคำตอบและสร้างองค์ความรู้ ในสิ่งที่ตนสนใจ ด้านคุณธรรม – จริยธรรม เด็กรู้จักโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อแบ่งปัน ขยัน อดทน และซื่อสัตย์ ซึ่งการเรียนรู้ที่มากล่าวนี้สามารถปูพื้นฐานได้ตั้งแต่ปฐมวัย โดยเริ่มจากสิ่งที่เด็กสามารถปฏิบัติได้ตามวัย การดูแลเอาใจใส่และความร่วมมือในการพัฒนาเด็กให้ดำเนินไปในเรื่องเดียวกันของครูและผู้ปกครอง และต้องส่งเสริมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 3

วิธีดำเนินการวิจัย

การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการศึกษาเรียนรู้โดยใช้การวิจัยในชั้นเรียน (Action Research in the classroom) รวบรวมข้อมูลด้วยการบันทึกพฤติกรรมเชิงคุณภาพจากการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย ผ่านกิจกรรมจากการลงมือปฏิบัติ โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า เปิดโอกาสให้เด็กได้สนทนาซักถาม แสดงความคิดเห็น ค้นหาคำตอบจากสิ่งที่เด็กสนใจและต้องการเรียนรู้ในการวิจัยผู้ทำการวิจัยมีขั้นตอนดำเนินการศึกษาตามหัวข้อต่อไปนี้
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2. ครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
3. การสร้างเครื่องมือและหาคุณภาพเครื่องมือ
4. วิธีการดำเนินการทดลอง
5. การเก็บรวบรวมข้อมูล
6. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย
ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นเด็กปฐมวัย ชาย -หญิง อายุระหว่าง 3 - 4 ปี ชั้นอนุบาล
ปีที่ 1 ปีการศึกษา 2551 ของโรงเรียนอนุบาลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในพระอุปถัมภ์ของ
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จำนวน 5 ห้อง จำนวน 100 คน
การเลือกกลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนชาย -หญิงอายุระหว่าง 3 - 4 ปี
ชั้นอนุบาลที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 ของนักเรียนโรงเรียนอนุบาลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในพระอุปถัมภ์ของ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) 1 ห้องเรียน เพื่อให้เป็นกลุ่มตัวอย่าง

2. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วย
1. แผนการจัดประสบการณ์บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
2. แบบสังเกตพัฒนาการทางสังคมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
3. แบบบันทึกพฤติกรรมและคำพูดเด็ก

3. การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ
3.1 การสร้างแผนการจัดประสบการณ์กิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียง มีลำดับขั้นตอนดังนี้
1. ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของสำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. 2542 )
2. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของ
นภัสวรรณ ชื่นฤดี (2550) พระขวัญชัย เกตุธรรมโม (2546) และสมพร พงษ์เสถียรศักดิ์ (2546)
3. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเสริมประสบการณ์ของ
เบญจะ คำมะสอน (2544) นงเยาว์ คลิกคลาย (2543) และศิรประภา พินิตตานนท์ (2546)
4. สร้างแผนการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่มุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ ฝึกการทำงาน การอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม
ซึ่งมีกรอบของรายละเอียดดังนี้
2.1 ชื่อกิจกรรม
2.2 จุดประสงค์ของการทำกิจกรรม
2.3 เนื้อหา
2.4 การบูรณาการกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
2.5 ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม
2.6 สื่อ/อุปกรณ์
2.7 ขั้นการประเมินผล
4. นำแผนการจัดกิจกรรมกิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจพิจารณาและปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมโดยใช้เกณฑ์การตัดสิน 2 ใน 3 ท่านของผู้เชี่ยวชาญที่มีความคิดเห็นตรงกัน ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญดังนี้
1. อาจารย์พรรัก อินทามระ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต
2. อาจารย์กันตวรรณ มีสมสาร ผู้จัดการโรงเรียนกันตวรรณ จังหวัดปทุมธานี
3. อาจารย์เนาวรัตน์ เกิดพิบูลย์ครูใหญ่โรงเรียนอนุบาลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในพระอุปถัมภ์ของ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
ผลการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ 2 ใน 3 ท่าน มีความเห็นตรงกัน คือควรตัดคำว่าเริ่มในพฤติกรรมต่าง ๆ ออกเพราะเด็กอายุ 3 ขวนสามารถทำได้แล้วและผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นสอดคล้องกับข้อกระทงความเป็นส่วนใหญ่
5. นำแผนการจัดกิจกรรมกิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
6. นำแผนการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ปรับปรุงเหมาะสมแล้วไปจัดทำเป็นฉบับสมบูรณ์ แล้วนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างในการทดลอง
3.2 การสร้างแบบสังเกตพัฒนาการทางสังคม มีลำดับขั้นตอนดังนี้
1. ศึกษาคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546
2. ศึกษาคู่มือการประเมินพัฒนาการเด็กของกระทรวงศึกษาธิการ
3. สร้างแบบสังเกตพัฒนาการด้านสังคมของเด็กปฐมวัย ที่มุ่งเน้นให้เกิด 3 คุณลักษณะ และ 2 เงื่อนไข คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตนเอง กับเงื่อนไขความรู้และเงื่อนไขคุณธรรม
4. นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาในข้อ 1และข้อ 2 มาสร้างเกณฑ์และดัดแปลงเป็นแบบสังเกต ให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กตามระดับอายุ
เกณฑ์การสังเกต
3 หมายถึง การแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้งหรือจนเป็นปกตินิสัย
2 หมายถึง การแสดงพฤติกรรมบ้างเป็นครั้งคราว
1 หมายถึง การแสดงพฤติกรรมน้อยมากหรือแทบจะไม่ปรากฎ
3. สร้างคู่มือในการดำเนินการสังเกตพัฒนาการทางสังคมของเด็กปฐมวัย
4. นำแบบสังเกตพัฒนาการทางสังคม ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจเพื่อตรวจหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบสังเกต จำนวน 3 ท่าน ดังนี้
1. อาจารย์พรรัก อินทามระ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต
2. อาจารย์กันตวรรณ มีสมสาร ผู้จัดการโรงเรียนกันตวรรณ
3. อาจารย์เนาวรัตน์ เกิดพิบูลย์ ครูใหญ่โรงเรียนอนุบาลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในพระอุปถัมภ์ของ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
ผลการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่านลงความเห็นและให้คะแนนรวม โดยใช้เกณฑ์ค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบสังเกตพัฒนาการทางสังคม
5. นำแบบสังเกตและคู่มือดำเนินการสังเกตพัฒนาการทางสังคมของเด็กปฐมวัยมาปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 ท่าน
6. ปรับปรุงตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญที่สอดคล้องกันอย่างน้อย 2 ใน 3 ท่าน เพื่อแสดงหลักฐานความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา แล้วนำคะแนนที่ได้จากการลงความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างพฤติกรรมกับจุดประสงค์ IOC มากกว่าหรือเท่ากับ 0.5 จึงถือว่าใช้ได้ (บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์. 2526 : 89) ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ในแต่ข้อได้ดัชนีความสอดคล้องระหว่างพฤติกรรมกับจุดประสงค์ IOC = 1.00
7. นำแบบสังเกตพัฒนาการทางสังคมของเด็กปฐมวัยที่ปรับปรุงเหมาะสมแล้วไปจัดทำเป็นฉบับสมบูรณ์ เพื่อนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างในการทดลอง
4. แบบแผนการทดลองและวิธีดำเนินการทดลอง
ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองโดยใช้แผนการทดลองแบบ One – Group Pretest – Posttest Design (ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ. 2538 : 249) ตามตาราง 1 ดังนี้

ตาราง 1 แบบแผนการทดลอง

กลุ่ม
Pretest
Treatment
Posttest
ER
T1
X
T2

ความหมายของสัญลักษณ์
ER คือ กลุ่มตัวอย่างในการทดลอง
T1 คือ การทดสอบก่อนการทดลอง (Pretest) โดยใช้แบบสังเกตพัฒนาการทาง สังคมของเด็กปฐมวัย
X คือ การจัดกิจกรรมการเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง
T2 คือ การทดสอบหลังการทดลอง (Posttest) โดยใช้แบบสังเกตพัฒนาการทางสังคมของเด็กปฐมวัย

วิธีดำเนินการทดลองมีขั้นตอนดังนี้
1. ทำการสังเกตพัฒนาการทางสังคม (pretest) ด้วยแบบสังเกตพัฒนาการทางสังคมของเด็กปฐมวัยที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
2. ผู้วิจัยดำเนินการทดลองโดยการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นเวลา 10 สัปดาห์ โดยทดลองสัปดาห์ละ 3 วัน ในวันพุธ วันพฤหัสบดีและวันศุกร์ วันละ 1 ครั้ง ครั้ง ละ 30 นาที ระหว่างเวลา 09.20 – 09.50 น. รวมทั้งสิ้น 30 ครั้ง
3. นำข้อมูลจากการทดลองไปวิเคราะห์ตามวิธีการทางสถิติการดำเนินการทดลอง

หมายเหตุ : หน่วยการเรียนแต่ละสัปดาห์ที่จัดกิจกรรมเพื่อให้สอดคล้องกับหน่วยการเรียนของโรงเรียน
3. นำข้อมูลจากการทดลองไปวิเคราะห์ตามวิธีการทางสถิติการดำเนินการทดลอง
4. เมื่อดำเนินการทดลองครบ 16 สัปดาห์ ผู้วิจัยทำการทดสอบหลังการทดลอง (Posttest) กับกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบสังเกตฉบับเดียวกันที่ใช้สังเกตก่อนการทดลอง

5. การเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการสังเกตพฤติกรรมด้านสังคมของเด็กปฐมวัยโดยการสังเกตก่อนการทดลอง และหลังการทดลองแล้วนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ตามวิธีการทางสถิติต่อไป

6. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
ผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้จากการทดลองไปวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ ดังนี้

1. สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
1.1 หาค่าเฉลี่ย (Mean) โดยคำนวณจากสูตร (ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ. 2538 : 73)
เมื่อ แทน คะแนนเฉลี่ย
แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง
1.2 หาค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) โดยคำนวณจากสูตร (ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ. 2538 : 79)


เมื่อ S แทน ความเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน
N แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง
แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
แทน ผลรวมของคะแนนนักเรียนแต่ละตัวยกกำลังสอง

2. การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
2.1 สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือด้านความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) โดยคำนวณจากสูตร (ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ. 2538 : 250)


เมื่อ แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การ
เรียนรู้ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ

3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน
3.1 เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนก่อนทดลองและหลังการทดลอง โดยใช้ t – test แบบ Dependent Samples โดยคำนวณจากสูตร (ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ. 2538 : 104)


โดย df = N – 1
เมื่อ แทน ค่าสถิติที่ใช้พิจารณาใน t – distribution
แทน ความแตกต่างของคะแนนแต่ละคู่
แทน จำนวนคน
แทน ผลรวมทั้งหมดของผลต่างของคะแนนระหว่างก่อนและ
หลังการทดลอง
แทน ผลรวมของกำลังสองของผลต่างของคะแนนระหว่าง
ก่อนและหลังการทดลอง

บทที่ 4

ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
เพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการทดลองและการแปลความหมายจากการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นที่เข้าใจตรงกัน ผู้วิจัยจึงได้กำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้

N แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง
1 แทน คะแนนเฉลี่ยก่อนการทดลอง
2 แทน คะแนนเฉลี่ยหลังการทดลอง
S แทน ความเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน
D แทน ค่าความแตกต่างของคะแนนแต่ละคู่
แทน ผลรวมทั้งหมดของผลต่างของคะแนนระหว่างก่อนและหลังระหว่างการทดลอง
แทน ผลรวมของกำลังสองของผลต่างของคะแนนระหว่างก่อนและหลังการทดลอง
t แทน ค่าที่ใช้ในการพิจารณาใน t – distribution
* แทน ค่าความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ. 05

ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
เปรียบเทียบพัฒนาการด้านสังคมก่อนและหลังการทดลองของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วิเคราะห์โดยใช้ t – Dependent

จากตาราง 1 ตารางการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของพัฒนาการด้านสังคมของเด็กปฐมวัย อายุ 3 ขวบ ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม

***จากตาราง 1 แสดงให้เห็นว่าเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีพัฒนาการด้านสังคมก่อนกับหลังการทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยหลังการทดลองเด็กปฐมวัย มีพัฒนาการด้านสังคมสูงกว่าการทดลอง

***ตาราง 2 การเปรียบเทียบพัฒนาการด้านสังคมของเด็กปฐมวัย อายุ 3 ขวบ ที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานหลักเศรษฐกิจพอเพียง


*มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

จากตาราง 2 แสดงว่าพัฒนาการด้านสังคมของเด็กปฐมวัย อายุ 3 ขวบ หลังจากที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานหลักเศรษฐกิจพอเพียงสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่กล่าวว่า พัฒนาการด้านสังคมของเด็กปฐมวัย อายุ 3 ขวบ ที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์บนพื้นฐานหลักเศรษฐกิจพอเพียงเพิ่มสูงขึ้น

Monday, October 20, 2008

โครงการจุลสารผู้ปกครองสร้างลูกให้เก่ง ดี มีสุข

นักศึกษานำเสนอการรายงานผลการดำเนินโครงการต่อผู้บริหารโรงเรียน
โครงการ “จุลสารผู้ปกครองสร้างลูกให้เก่ง ดี มีสุข”
เรื่องหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการปลูกฝังเด็กปฐมวัย
“The Sufficiency Economy’ s knowledges Newsletters for Early Childhood’s establishment”


หลักการและเหตุผล
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทาง การดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำ แนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์และความเปลี่ยนแปลง ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่านั้นทำให้เกิดการตื่นตัวของสังคมเป็นอย่างมากในเรื่องของการนำหลักปรัชญามาใช้ในการดำรงชีวิต ไม่เฉพาะในวัยผู้ใหญ่ต้องน้อมนำมาประยุกต์ใช้เท่านั้นที่ ในวัยเด็กก็ควรให้เกิดความเข้าใจและรู้จักใช้ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ผู้ใหญ่จึงควรปลูกฝังให้เกิดความซึมซับทีละน้อยเพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจึงมีความจำเป็นต่อการพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างคุณภาพชีวิต ทั้งด้านร่างกายที่มีความสมบูรณ์ แข็งแรง มีสติปัญญาใฝ่รู้ มีจิตสำนึกในคุณธรรมจริยธรรม มีความเพียรที่จะนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างมั่นคงยั่งยืน อันจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญยิ่งขึ้นอีก
ดังนั้นนักศึกษาชั้นปีที่ 5 สาขาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้จัดให้มีโครงการ จุลสารความรู้สู่ผู้ปกครองเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับเด็กปฐมวัย ขึ้นในโรงเรียนอนุบาลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งเป็นการสื่อสารแบบ 2 ทาง(2 - Way Communication) เพื่อให้ผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการปลูกฝังแนวทางการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขตามแนวพระราชดำรัสปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้แก่เด็ก และเพื่อเป็นการปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก ให้สามารถปรับตัวเข้ากับผู้อื่น และการเตรียมความพร้อมในการเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ อย่างถูกต้องเหมาะสมอันเป็นการปูพื้นฐานให้เด็กช่วยเหลือตนเองได้และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในสังคม

วัตถุประสงค์
โครงการจุลสารความรู้สู่ผู้ปกครองเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับลูกรัก มีวัตถุประสงค์ดังนี้
1. เพื่อให้ผู้ปกครองได้รับความรู้ ความเข้าใจในการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้
2. เพื่อให้ผู้ปกครองทราบถึงแนวทางหรือวิธีการที่หลากหลายในการพัฒนาเด็ก
3. เพื่อให้ครูและผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพของเด็ก
4. เพื่อให้ทราบถึงวิธีการในการจัดการเรียนรู้ ให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างสนุกสนานและเกิดความผูกพันในครอบครัว
5. เพื่อให้เด็กได้รับองค์ความรู้จากกระบวนการในการให้ความรู้แก่ผู้ปกครอง
6. เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถนำความรู้ ความเข้าใจไปถ่ายทอดให้กับบุตรหลาน
7. เพื่อให้นักศึกษาได้รับความรู้จากการทำจุลสารนี้
8. เพื่อให้นักศึกษาจะได้เรียนรู้ขั้นตอนวิธีการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองและการจัดทำจุลสารให้ความรู้แก่ผู้ปกครอง

เป้าหมาย
ด้านปริมาณ
ผู้ปกครองและเด็กอนุบาลชั้นปีที่ 1 ห้องอนุบาล 1/2 จำนวน 20 คน ของโรงเรียนอนุบาลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในพระอุปถัมภ์ของ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้
ด้านคุณภาพ
ผู้ปกครองและเด็กอนุบาลชั้นปีที่ 1 ห้องอนุบาล 1/2 จำนวน 20 คน ของโรงเรียนอนุบาลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในพระอุปถัมภ์ ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่เข้าร่วมโครงการจุลสารความรู้สู่ผู้ปกครองเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับลูกรัก ให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องแนวทางการดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำรัสปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสามารถนำไปการประยุกต์ใช้รวมทั้งยังนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้

ลักษณะของจุลสาร
จุลสารความรู้สู่ผู้ปกครองเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับลูกรัก เป็นการนำเสนอข้อความรู้เกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งผู้จัดทำได้รวบรวมวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อความรู้ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยนำมาเรียบเรียงใหม่ เพื่อเป็นความรู้ให้ผู้ปกครองได้นำไปถ่ายทอดให้กับเด็กปฐมวัย ในจุลสารฉบับนี้มีองค์ประกอบ 4 องค์ประกอบดังนี้
1. บทนำ เป็นส่วนที่พูดถึงความสำคัญของจุลสาร
2. ความรู้ เป็นส่วนที่นำเสนอข้อความรู้ที่เกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้ภาษาที่ง่ายพร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ
3. กิจกรรม คือส่วนที่ให้ผู้ปกครองได้จัดกระทำให้กับลูกหลานของตน
4. การสื่อสาร 2 ทาง(2- Way Communication) เป็นส่วนที่ให้ผู้ปกครองได้สอบถามและบันทึกคำตอบที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการปลูกฝัง แนวคิด ทัศนคติ เกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการสื่อสารแบบ 2 ทาง โดยให้ผู้ปกครองได้บันทึกคำตอบ,กิจกรรมแล้วนำส่งกลับคืนครูประจำชั้น

ขั้นตอนวิธีการดำเนินงาน
1. วางแผนและกำหนดหัวข้อการจัดทำโครงการ
2. เสนอหัวข้อการทำโครงการต่อผู้บริหารโรงเรียนอนุบาลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ฯ
3. ปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาในการดำเนินการ
4. รวบรวมเอกสารเกี่ยวกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
5. การดำเนินโครงการ
6. การจัดตั้งจุลสาร
7. การประเมินผลโครงการ
8. การรายงานโครงการ

ตารางแสดงขั้นตอนการดำเนินงาน
1. วางแผนและกำหนดหัวข้อการจัดทำโครงการ
2. เสนอหัวข้อโครงการต่อผู้บริหารโรงเรียน
3. ปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาในการดำเนินการ
4.รวบรวมเอกสารเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
5. ดำเนินโครงการ

วันและเวลาในการดำเนินโครงการ
วันที่ 15 สิงหาคม – วันที่ 26 กันยายน 2551

สถานที่ดำเนินการ
โรงเรียนอนุบาลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

ผู้รับผิดชอบโครงการ
นางสาวนิตยา ทองภาพ นักศึกษาชั้นปีที่ 5 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์

งบประมาณ
ค่าเอกสารการจัดทำจุลสารฉบับที่ 1 – 6 300บาท

การประเมินผล
- แบบตอบกลับการแสดงความคิดเห็นประจำสัปดาห์
- จำนวนผู้ที่เข้าร่วมโครงการ

- ผู้ประเมินความพึงพอใจ

ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1. เพื่อให้ผู้ปกครองได้รับความรู้ ความเข้าใจในการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้
2. เพื่อให้ผู้ปกครองทราบถึงแนวทางหรือวิธีการที่หลากหลายในการพัฒนาเด็ก
3. เพื่อให้ครูและผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพของเด็ก
4. เพื่อให้ทราบถึงวิธีการในการจัดการเรียนรู้ ให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างสนุกสนานและเกิดความผูกพันในครอบครัว
5. เพื่อให้เด็กได้รับองค์ความรู้จากกระบวนการในการให้ความรู้แก่ผู้ปกครอง
6. เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถนำความรู้ ความเข้าใจไปถ่ายทอดให้กับบุตรหลาน
7. เพื่อให้นักศึกษาได้รับความรู้จากการทำจุลสารนี้
8. เพื่อให้นักศึกษาจะได้เรียนรู้ขั้นตอนวิธีการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองและการจัดทำจุลสารให้ความรู้แก่ผู้ปกครอง

รายงานผลการดำเนินโครงการจุลสารผู้ปกครองสร้างลูกให้เก่งดีมีสุข
ระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม ถึง 26 กันยายน 2551

นางสาวนิตยา ทองภาพ นักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ชั้นปีที่ 5 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้จัดทำโครงการจุลสารผู้ปกครองสร้างลูกให้เก่งดีมีสุข ระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม - 26 กันยายน 2551 โดยมีผู้ปกครองเข้าร่วมโครงการจำนวน 18 คน ซึ่งมีความคิดเห็นต่อการจัดดำเนินโครงการและการนำไปใช้ดังนี้

ด้านเนื้อหาสาระ
ผู้ปกครองส่วนใหญ่ที่ตอบแบบประเมินความพึงพอใจมีความเห็นต่อจุลสารด้านเนื้อหาสาระ ในระดับมาก ดังนี้ จุลสารดังกล่าวให้ความรู้ที่จะนำไปสู่เด็ก ( = 4.27 S.D. = 0.75) ความรู้และเนื้อหาในจุลสารมีความเหมาะสม ( = 4.11 S.D. = 0.83) และเนื้อหาในจุลสารมีความทันสมัยและทันต่อเหตุการณ์ ( = 4.33 S.D. = 0.68)
ด้านการนำไปใช้
ผู้ปกครองส่วนใหญ่ที่ตอบแบบประเมินความพึงพอใจมีความเห็นต่อการนำไปใช้ อยู่ในระดับมาก ดังนี้ การได้นำความรู้ไปใช้กับบุตรหลาน ( = 4.38 S.D. = 0.60) ได้นำความรู้ในเรื่องนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ( = 4.33 S.D. = 0.68) สามารถนำคำถามที่ใช้ในจุลสารกระตุ้นให้เด็กเกิดความคิด ( =4.22 S.D. = 0.80) และเด็กมีพัฒนาการทางภาษาและทักษะในการแก้ปัญหาเพิ่มขึ้น ( =4.11 S.D. = 0.96)
ด้านองค์ประกอบของจุลสาร
ผู้ปกครองส่วนใหญ่ที่ตอบแบบประเมินความพึงพอใจมีความเห็นต่อองค์ประกอบของจุลสาร อยู่ในระดับมาที่สุดดังนี้ รูปแบบและรูปเล่มมีความเหมาะสม ( = 4.33 S.D. 0.48) รูปแบบขนาดของตัวหนังสือสามารถอ่านได้ชัดเจน ( =4.38 S.D.= 0.60) และมีความต้องการให้โรงเรียนจัดทำจุลสารหรือเอกสารประเภทนี้อีก ( = 4.44 S.D.= 0.70)

ด้านข้อเสนอแนะ
ในโครงการจุลสารผู้ปกครองสร้างลูกให้เก่งดีมีสุข มีผู้ปกครองได้ให้ข้อเสนอแนะดังนี้
- ถ้ามีภาพเป็นสื่อในจุลสารก็จะทำให้เด็กมีความสนใจมากขึ้น
- ความรู้และเนื้อหาบางข้อความก็ยังไม่เหมาะกับวัยของน้อง ถ้าหากจะให้น้องเข้าใจก็ต้องใช้เวลาอธิบายกันมากหน่อย หากจะถามและต้องการคำตอบจากน้องในเวลานั้นเลยก็จะยากไป
- ขอบคุณนะคะ ที่สรรหาสิ่งดีดีที่มีต่อพัฒนาการของเด็ก ๆ มาให้อ่าน เพื่อที่จะได้นำไปปฏิบัติและปรับปรุงการพัฒนาการของเด็ก และยังมีการสนทนาและทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวด้วย ขอบคุณมากคะ
- เป็นเนื้อหาสาระที่ดีในการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงมาใช้ แต่เห็นว่าการปลูกฝังปรัชญาดังกล่าวอาจจะไม่เหมาะกับเด็กวัยนี้เท่าใดนักเพราะเด็กวัยขนาดนี้จะบอกกล่าวให้ฟังยากมากมัวแต่จะเล่นอย่างเดียว เห็นการทำกิจกรรมอะไรก็ได้แต่ให้แฝงแนวคิดปรัชญา น่าจะทำให้เด็กเข้าใจมากกว่านะครับ
- สื่อ รายละเอียดค่อนข้างน้อย พยายามให้มีรูปภาพเช่นการ์ตูนต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องที่นำเสนอเพื่อกระตุ้นให้เด็กสนใจ จะขอบคุณมากนะครับ

ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
จากตารางพบว่า ผู้ปกครองที่ตอบแบบประเมินความพึงพอใจในโครงการจุลสารผู้ปกครองสร้างลูกให้เก่งดีมีสุข มีความพึงพอใจต่อโครงการดังกล่าวโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก
เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อแล้วผู้ปกครองส่วนใหญ่มีความคิดเห็นในระดับมากในเรื่องจุลสารดังกล่าวให้ความรู้ที่จะนำไปสู่เด็กมาก ( = 4.27 S.D. = 0.75) ความรู้และเนื้อหาในจุลสารมีความเหมาะสมมาก ( = 4.11 S.D. = 0.83) เนื้อหาในจุลสารมีความทันสมัยและทันต่อเหตุการณ์มาก ( = 4.33 S.D. = 0.68) นอกจากนี้ยังมีความคิดเห็นต่อจุลสารว่าสามารถนำความรู้ไปใช้กับบุตรหลานได้มาก ( = 4.38 S.D. = 0.60) การนำความรู้ในเรื่องนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันมาก ( = 4.33 S.D. = 0.68) ความสามารถในการนำคำถามที่ใช้ในจุลสารกระตุ้นให้เด็กเกิดความคิดมาก ( =4.22 S.D. = 0.80) เด็กมีพัฒนาการทางภาษาและทักษะในการแก้ปัญหาเพิ่มขึ้นมาก ( =4.11 S.D. = 0.96) รูปแบบและรูปเล่มมีความเหมาะสมมาก ( = 4.33 S.D. 0.48) อีกทั้งรูปแบบขนาดของตัวหนังสือสามารถอ่านได้ชัดเจนมาก ( =4.38 S.D.= 0.60) และมีความต้องการให้โรงเรียนจัดทำจุลสารหรือเอกสารประเภทนี้อีกมาก ( = 4.44 S.D.= 0.70)

สรุปผลการตอบคำถามและการแสดงพฤติกรรมในจุลสารแต่ละฉบับ
เด็กชายชญานนท์ กิ่งมาลา ชื่อเล่น น้องเจแปน
ฉบับที่ 1 ตอบว่า
- เก็บและนำไปทิ้งถังขยะและซื้อใหม่
- ปิดน้ำให้หยุดไหลเพื่อไม่ให้น้ำหมดและไม่เสียค่าน้ำเยอะ
ฉบับที่ 2 ตอบว่า
- เก็บไว้เล่นวันต่อไป
- เก็บไว้เล่นวันต่อไป
- รอพ่อกับแม่
ฉบับที่ 3 พฤติกรรมที่แสดงออก
- เก็บกล่องและทำความสะอาดและติดเทปกาวกล่องที่ฉีกขาด
ฉบับที่ 4 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 5 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 6 ตอบว่า
- แบ่งเพื่อนกินด้วยกัน แบ่งเท่า ๆ กันทุกคน
- เก็บของเล่นไว้เล่นวันต่อไป และเก็บเข้าตะกร้า

สรุป
จากคำตอบแสดงให้เห็นว่าน้องเริ่มแสดงถึงความมีเหตุผลในเรื่องของการใช้สิ่งของอย่างจำเป็นและประหยัดเช่น น้องบอกว่าหากน้ำไหลทิ้งต้องปิดน้ำไม่ให้น้ำไหลเพื่อไม่ให้น้ำหมดและไม่เสียน้ำเยอะ ในเรื่องของการเล่นของเล่นถ้าของเล่นชิ้นเดิม ๆ เกิดเบื่อแล้วจะเก็บไว้เล่นในครั้งต่อไป และในเรื่องของการแบ่งปันขนมต้องแบ่งปันเพื่อนโดยให้เหตุผลว่าเพราะเป็นเพื่อนกัน

เด็กหญิงชญานี พงษ์พืช ชื่อเล่น น้องมุก
ฉบับที่ 1 ตอบว่า
- ซ่อม
- ปิดน้ำ เพราะเดี๋ยวน้ำหมดไม่มีน้ำใช้
ฉบับที่ 2 ตอบว่า
- เก็บไว้
- เก็บ
- ไม่ซื้อ
ฉบับนี้ 3 พฤติกรรมที่แสดงออก
- รื้อดูของเสีย
ฉบับที่ 4 ตอบว่า
- ก็ไม่ต้องไป
- บอกว่าก็อยู่บ้าน หาอะไรทำ (เล่น)
ฉบับที่ 5 ตอบว่า
- อร่อย
- ชมพู,น้ำตาล,ขาว
- สตรอเบอรรี่,ช็อคโกแลต,จืด
- ถ้าแกะแล้วยังกินไม่หมด ก็ต้องแช่ตู้เย็น
ฉบับที่ 6 ตอบว่า
- แบ่งให้เพื่อนค่ะ
- เก็บของเล่นค่ะ
สรุป
จากการตอบคำถามแสดงให้เห็นว่าน้องเริ่มเข้าใจถึงความพอประมาณมากขึ้น เช่น ในเรื่องของการปิดและซ่อมน้ำโดยบอกว่าถ้าเปิดน้ำทิ้งไว้จะทำให้น้ำหมดเดี๋ยวไม่มีน้ำใช้ และในฉบับที่ 3 ที่ให้เด็กได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการซ่อมของเล่น น้องได้ช่วยผู้ปกครองรื้อของที่เสียออกมาดูเพื่อจะได้ทำการซ่อมแซม ในเรื่องของความรู้ได้มีกิจกรรมให้แยกแยะกลิ่น สี รสชาติของนม น้องแยกแยะสี รสชาติและกลิ่นของนมได้ พร้อมทั้งบอกว่าถ้ากินไม่หมดต้องแช่เย็นไว้ นอกจากนี้ยังแสดงถึงความมีคุณธรรมในเรื่องของการแบ่งปันสิ่งของโดยบอกว่าแบ่งให้เพื่อนด้วย

เด็กหญิงณัฐฐิญา เอมบุตร ชื่อเล่น น้องมายมินท์
ฉบับที่ 1 ตอบว่า
- หนูจะร้องไห้ให้คุณแม่ซื้อให้ใหม่ค่ะ
- หนูจะปิดน้ำเอง ถ้าเปิดน้ำไว้มันจะเปลืองน้ำ เดี๋ยวไม่มีน้ำใช้
ฉบับที่ 2 ตอบว่า
- เล่นจนกว่าจะพังแล้วให้คุณแม่ซื้อให้ใหม่
- หนูจะเก็บเข้าที่เดิมค่ะ จะได้หาเจอ
- หนูจะบอกให้คุณแม่ซื้อให้ค่ะ
- ถ้าอยู่โรงเรียนหนูจะให้ครูซื้อให้ค่ะ/ถ้าเพื่อนซื้อมาก็ขอเพื่อนกิน
ฉบับที่ 3 พฤติกรรมที่แสดงออก
- น้องมายมินท์จะยืนมองดูและช่วยคุณพ่อ ช่วยคุณแม่หาเครื่องมือซ่อมแซมกล่อง
ฉบับที่ 4 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 5 ตอบว่า
- รสชาติไม่เหมือนกันเลย หนูชอบรสหวานกับรสส้ม
- สีชมพูเป็นรสสตรอเบอรี่/สีส้มรสส้ม/สีน้ำตาลรสชอคโกแลต
- กลิ่นไม่เหมือนกัน แยกกลิ่นผลไม้ได้ แต่กลิ่นนมจืดกับนมรสหวานแยกไม่ได้
- เก็บไว้ในตู้เย็น
ฉบับที่ 6 ตอบว่า
- หนูจะแบ่งขนมให้วุ้น/ชีท/แพรวา/ศุภกฤต แค่นี้ค่ะหนูไม่แบ่งให้ไนซ์กับวินเซิฟ 2 คนนี้ ชอบแกล้ง
- หนูเล่นเสร็จแล้วหนูก็จะเอาไว้ที่เดิม
สรุป
จากคำตอบแสดงให้เห็นว่าในฉบับแรกที่ถามเกี่ยวกับเรื่องของการเล่นของเล่นถ้าเกิดว่าพังจะทำอย่างไร น้องตอบว่าจะร้องไห้ให้คุณแม่ซื้อใหม่ แสดงให้เห็นว่าทักษะในการแก้ปัญหายังน้อยแต่เมื่อคุณแม่ได้อธิบายให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องของความพอประมาณในการประหยัดน้ำ – ไฟและการเล่นของเล่น ในฉบับที่ 2 น้องตอบว่าจะเล่นของเล่นชิ้นนั้นจนกว่าจะพังถึงจะซื้อใหม่ ส่วนในฉบับที่ 3 ที่เป็นกิจกรรมให้เด็กได้มีส่วนร่วมกับผู้ปกครองในการรื้อซ่อมของเล่น น้องยืนมองดูและช่วยคุณพ่อ คุณแม่หาเครื่องมือซ่อมแซมกล่อง ในเรื่องของการแบ่งปันน้องยังมีการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางอยู่คือ น้องจะแบ่งให้เฉพาะคนที่ตนเองชอบเท่านั้น เช่น บอกว่าหนูจะแบ่งขนมให้วุ้น/ชีท/แพรวา/ศุภกฤต แค่นี้ค่ะหนูไม่แบ่งให้ไนซ์กับวินเซิฟ 2 คนนี้ ชอบแกล้ง

เด็กชายธนโชติ นามสกุล แก้วสุวรรณ ชื่อเล่น น้องภูมิ
ฉบับที่ 1 ตอบว่า
- นำของเล่นไปซ่อม
- เดินไปปิดน้ำ เพราะน้ำจะหมด
ฉบับที่ 2 ตอบว่า
- นำไปซ่อม
- เก็บไว้ที่บ้านไม่ทิ้ง
- ยังไม่ซื้อมาขอเงินพ่อก่อน
ฉบับที่ 3 พฤติกรรมที่แสดงออก
- ช่วยเลือกของเล่นที่พังชำรุดแล้วแยกประเภทแล้วช่วยซ่อมแซม
ฉบับที่ 4 ตอบว่า
- ไปร้านค้าใกล้ ๆ ก็ได้ มีของเล่นเหมือนกันและจะเล่นอยู่กับเพื่อนที่บ้าน
- ไม่โกรธและทำตามโดยดี มีความสนใจที่จะไปร้านค้าใกล้ ๆ
ฉบับที่ 5 ตอบว่า
- อร่อยหมดเลย แต่ไม่ชอบรสเปรี้ยว
- สีขาว
- หอม
- ใส่ตู้เย็น
ฉบับที่ 6 ตอบว่า
- แบ่งให้เพื่อน ๆ ทานด้วยกัน
- เก็บของเล่นให้เรียบร้อย
สรุป
จากคำตอบในฉบับแรกในเรื่องของเล่นของเล่น ตอบว่าถ้าเกิดเล่นของเล่นพังจะนำไปซ่อมและบอกว่าถ้าเห็นน้ำไหลจะเดินไปปิดน้ำ เพราะน้ำจะหมด ในฉบับที่ 3 ที่เป็นกิจกรรมให้เด็ก ๆ ได้มีส่วนร่วมกับผู้ปกครองในเรื่องของการซ่อมแซมของเล่นน้องช่วยเลือกของเล่นที่พังชำรุดแล้วแยกประเภทแล้วช่วยซ่อมแซม ในเรื่องของความรู้โดยให้เด็กได้แยกแยะสี รสชาติ กลิ่น ของนม น้องแยกแยะได้ นอกจากนี้ในเรื่องของคุณธรรมน้องแสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจโดยบอกว่าจะแบ่งปันขนมให้เพื่อนทานด้วย

เด็กหญิงธัญชนก นามสกุล นาควิเชียร ชื่อเล่น น้องวุ้น
ฉบับที่ 1 ตอบว่า
- ให้พ่อซ่อมให้ก่อน
- หนูจะปิดน้ำก่อน เพราะว่าเปลืองน้ำ, เปลืองเงิน
ฉบับที่ 2 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 3 พฤติกรรมที่แสดงออก
- ถ้ารื้อกล่องของเล่นออกมาซ่อม น้องจะถามว่าซ่อมอะไรจะช่วยหยิบของให้คุณพ่อและดูว่าคุณพ่อซ่อมอะไร ซ่อมอย่างไรก็จะขอเครื่องมือที่คุณพ่อซ่อมและขอซ่อมของเล่นด้วย
ฉบับที่ 4 ตอบว่า
- ทำไมถึงไม่พาไปฟิวเจอร์แต่เมื่ออธิบายให้ฟังว่าแล้วพาไปเดินเล่นหรือถีบจักรยานใกล้ ๆ
บ้าน ก็ OK.
- ตอนแรกถ้าไม่เข้าใจก็ร้องไห้เสียใจ แต่เมื่ออธิบายแล้วพาไปทำกิจกรรมอื่น ๆ OK.
ฉบับที่ 5 ตอบว่า
- นมนี้จืด/นมหวาน
- นมสีขาว
- หอมจัง
- เก็บไว้ในตู้เย็น
ฉบับที่ 6 ตอบว่า
- จะแบ่งให้เพื่อนกันบางคนที่สนิท,บางคนก็ไม่ให้กิน
- ช่วยคุณครูเก็บของเล่น
สรุป
จากคำตอบในเรื่องของการถามเกี่ยวกับการซ่อมแซมของน้องบอกว่าถ้าของเล่นพังจะให้คุณพ่อซ่อมและในเรื่องของการประหยัดน้ำ น้องบอกว่าถ้าเห็นน้ำไหลทิ้งจะเดินไปปิดน้ำเพราะว่าเปลืองน้ำ,เปลืองเงิน ในฉบับที่ 3 ที่เป็นกิจกรรมโดยให้เด็กได้มีส่วนร่วมกับผู้ปกครองในการรื้อซ่อมแซมของเล่นถ้ารื้อกล่องของเล่นออกมาซ่อม น้องจะถามว่าซ่อมอะไรจะช่วยหยิบของให้คุณพ่อและดูว่าคุณพ่อซ่อมอะไร ซ่อมอย่างไรก็จะขอเครื่องมือที่คุณพ่อซ่อมและขอซ่อมของเล่นด้วย
ในฉบับที่ 5 ที่เป็นความรู้ให้เด็กได้แยกแยะสี รสชาติ กลิ่นของนม น้องแยกแยะได้ และในฉบับที่ 6 ที่เป็นเรื่องคุณธรรมน้องแสดงความมีน้ำใจโดยการบอกว่าขนมให้เพื่อนที่สนิทเท่านั้น บางคนก็ไม่ให้กินและถ้าเล่นของเล่นเสร็จแล้วจะช่วยคุณครูเก็บของเล่น

เด็กชายนุติเดช นามสกุล อินทร์แพง ชื่อแล่น อู
ฉบับที่ 1 ตอบว่า
- ถ้าโตขึ้นจะไปซื้อใหม่ จะซื้อเอง
- น้องอูจะปิดเพราะกลัวน้ำหมดไม่มีใช้
ฉบับที่ 2 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 3 พฤติกรรมที่แสดงออก
- ช่วยแยกว่าของชิ้นไหนเสีย ชิ้นที่ใช้ไม่ได้จะทิ้ง และจะเก็บของเก่าที่เก็บไว้นานแล้วก็จะเล่นไปและเล่นไม่เหมือนเดิมคือจะเล่นเป็นเรื่องและเล่นได้นานขึ้น
ฉบับที่ 4 ตอบว่า
- ให้ไปห้างที่อยู่ไกลบ้านแทน
- ไม่เป็นไรน้องอูจะไม่เอาของเล่น
ฉบับที่ 5 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 6 ไม่มีคำตอบ
สรุป
จากคำตอบในเรื่องของการเล่นของเล่นพังน้องบอกว่าพังก็พังไป ถ้าโตขึ้นจะซื้อใหม่ และซื้อเอง แต่เมื่อผู้ปกครองได้อธิบายให้ฟัง น้องแสดงพฤติกรรมในฉบับที่ 3 คือช่วยแยกว่าของชิ้นไหนเสีย ชิ้นที่ใช้ไม่ได้จะทิ้ง และจะเก็บของเก่าที่เก็บไว้นานแล้วก็จะเล่นไปและเล่นไม่เหมือนเดิมคือจะเล่นเป็นเรื่องและเล่นได้นานขึ้น

เด็กหญิงปรีชญา นามสกุล กังเจริญ ชื่อเล่น น้องแบมบู
ฉบับที่ 1 ตอบว่า
- ซื้อใหม่และต้องเอาไปซ่อม (เหมือนจะงงกับคำตอบ)
- หนูจะปิดน้ำถ้าปิดน้ำไม่หมดจะเปลืองน้ำ
ฉบับที่ 2 ตอบว่า
- หนูก็เล่นต่อไปอีก
- ก็ไม่เล่น
- ก็ซื้อห่อเล็กไปก่อน
ฉบับที่ 3 พฤติกรรมที่แสดงออก
- ช่วยหยิบส่วนที่มันหลุดมาให้ซ่อมแล้วก็ชอบถามว่าทำไมถึงได้พัง
ฉบับที่ 4 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 5 ตอบว่า
- ชอคโคแลตก็อร่อย รสจืดก็อร่อย
- สีชมพูสตรอเบอรรี่/ สีน้ำตาลชอคโคแลต / สีเขียวรสจืด
- หอมน่ากิน
- ให้ใส่ตู้เย็น
ฉบับที่ 6 ตอบว่า
- แบ่งให้เพื่อนกิน
- เก็บให้เรียบร้อย
สรุป
จากคำตอบในฉบับแรกที่ถามว่าถ้าของเล่นพังจะทำอย่างไร น้องบอกว่าซื้อใหม่แต่เมื่อได้ฟังคำอธิบายเกี่ยวกับการประหยัดและการดูแลของเล่นน้องเริ่มเข้าใจเหตุผลโดยการช่วยหยิบส่วนที่มันหลุดมาให้ซ่อมแล้วก็ชอบถามว่าทำไมถึงได้พัง ในฉบับที่ 5 ที่เกี่ยวกับเงื่อนไขความรู้โดยให้เด็กได้แยกแยะสี กลิ่นและรสชาติของนมน้องบอกได้และยังบอกอีกว่าวิธีการถนอมนมโดยการใส่ไว้ในตู้เย็น ในเรื่องของเงื่อนไขคุณธรรมน้องแสดงความมีน้ำใจโดยการบอกว่าจะแบ่งขนมให้เพื่อนกินและในเรื่องของการมีวินัยในการเก็บของเล่นน้องบอกว่าถ้าเล่นเสร็จแล้วต้องเก็บให้เรียบร้อย

เด็กหญิงแพรวา นามสกุล เกตพันธ์ ชื่อเล่นน้องแพรวา
ฉบับที่ 1 ตอบว่า
- ให้คุณแม่ซ่อม
- แพรวาบอกว่าไม่ปิดให้ครูสาปิด เพราะเพื่อนไม่รอเขา
ฉบับที่ 2 ตอบว่า
- แพรวาจะเดินไปเล่นกับเพื่อน ๆ
- แพรวาจะเก็บใส่กล่องไว้
- แพรวาจะอยู่บ้านแต่คุณแม่ต้องซื้อขนมให้
ฉบับที่ 3 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 4 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 5 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 6 ตอบว่า
- จะแบ่งให้เพื่อนทาน
- เก็บเข้าที่เก็บของเล่น
สรุป
จากคำตอบในฉบับแรกที่ถามว่าถ้าหากของเล่นที่รักพังลงไปจะทำอย่างไร น้องบอกว่าจะให้คุณแม่ซ่อมและถามต่อไปอีกว่าถ้าเห็นน้ำไหลทิ้งจะทำอย่างไรน้องบอกว่าไม่ปิดให้ครูสาปิดเพราะว่ากลัวแต่ในเรื่องของคุณธรรมน้องแสดงความมีน้ำใจโดยบอกว่าแบ่งปันขนมให้เพื่อนทานและถ้าเล่นของเล่นเสร็จแล้วต้องเก็บเข้าที่ด้วยแสดงถึงความมีวินัยในการเก็บของเล่นเข้าที่

เด็กหญิงภัทรลภา นามสกุล เขียวรัตน์ ชื่อเล่น น้องแฟนต้า
ฉบับที่ 1 ตอบว่า
- ลูกบอกว่าถ้าได้ของเล่นมาลูกจะรักษาแต่ถ้ามันพังลูกก็เอามาให้แม่
- ถ้าลูกเห็นก๊อกน้ำเปิดอยู่ลูกจะเดินไปปิดเพราะลูกบอกว่าเดี๋ยวน้ำท่วมอ่าง
ฉบับที่ 2 ตอบว่า
- ก็เล่นของที่มีอยู่ก่อนถ้าพังแล้วค่อยซื้อใหม่
- น้องแฟนต้าบอกว่าก็เก็บใส่ตะกร้าของเล่นไว้ก่อน
- น้องแฟนต้าบอกว่าไม่มีเงินก็ไม่กิน
ฉบับที่ 3 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 4 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 5 ตอบว่า
- ถ้ารสที่ชอบก็จะบอกว่าอร่อยดี
- สีขาว
- หอมดี
- เวลาทานไม่หมดให้แช่ตู้เย็น
ฉบับที่ 6 ตอบว่า
- แฟนต้าบอกจะแบ่งขนมให้เพื่อน ๆ
- ต้องเก็บเข้าที่
สรุป
จากคำตอบในฉบับแรกน้องเริ่มมีความรักและถนุถนอมของเล่นคือน้องบอกว่าได้ของเล่นมาลูกจะรักษาแต่ถ้ามันพังลูกก็เอามาให้แม่และถ้าเห็นน้ำไหลทิ้งก็จะเดินไปปิดเพราะลูกบอกว่าเดี๋ยวน้ำท่วมอ่าง ถ้ายังมีของเล่นที่ยังเลนได้อยู่ก็บอกว่า ก็เล่นของที่มีอยู่ก่อนถ้าพังแล้วค่อยซื้อใหม่ ในฉบับที่ 5 ที่ให้เด็กได้แยกแยะสี กลิ่น รสชาติของนมน้องแยกแยะและบอกวิธีการในการเก็บนมให้อยู่ได้นานโดยการเก็บเข้าตู้เย็น นอกจากนี้ยังแสดงถึงความมีน้ำใจโดยการบอกว่าจะแบ่งปันขนมให้เพื่อน ๆ และเมื่อเล่นของเล่นเสร็จแล้วจะต้องเก็บเข้าที่

เด็กหญิงรสกร นามสกุล ภู่จำนงค์ ชื่อเล่น น้องไนซ์
ฉบับที่ 1 ตอบว่า
- เอาไปให้พ่อเนกซ่อม
- ต้องปิดเดี๋ยวเปลืองน้ำและน้ำจะหมด
ฉบับที่ 2 ตอบว่า
- เอาไว้เล่นต่อ
- เอาไปเก็บไว้ในกล่อง
- ไม่ต้องซื้อ
ฉบับที่ 3 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 4 ตอบว่า
- บอกแม่ว่าไม่ต้องไปเพราะเปลืองเดี๋ยวไม่มีตังค์ซื้อนมให้ไนซ์
- เขาไม่รู้สึกเสียใจหรือเสียดายหลังจากที่คุณแม่เล่าให้ฟังและบอกเหตุผลให้ฟังช่วงแรกเขาจะถามว่าทำไมถึงไม่ได้
ฉบับที่ 5 ตอบว่า
- รสชอคโคแลต หวานหอมชอคโกแลต/ รสส้ม เปรี้ยวและหวาน/ รสจืด ไม่หวานแต่มัน
- รสชอคโคแลตสีน้ำตาล/รสส้มสีส้ม/รสจืดสีขาว
- ชอคโคแลต หอมชอคโคแลต/รสส้มหอมส้ม/รสจืดไม่ได้กลิ่น
- ไว้ในตู้เย็น
ฉบับที่ 6 ตอบว่า
- แบ่งให้เพื่อนกินด้วย
- เก็บของเล่นใส่กล่อง
สรุป
จากคำตอบในเรื่องการดูแลรักษาของเล่นน้องบอกว่าต้องดูแลรักษาโดยการเก็บใส่กล่องเพื่อเอาไว้เล่นต่อแสดงว่าน้องเริ่มมีความพอประมาณในการเล่นและการดูแลรักษาของเล่นและในฉบับที่ 3 ที่เกี่ยวกับเรื่องความมีเหตุผลโดยมีคำถามว่าในช่วงที่น้ำมันแพงเราจำเป็นต้องประหยัดเงินโดยการลดความจำเป็นในการเดินทางไปเที่ยวที่ไกล ๆ บ้าง หลังจากที่คุณแม่อธิบายเหตุผลให้ฟังน้องบอกแม่ว่าไม่ต้องไปเพราะเปลืองเดี๋ยวไม่มีตังค์ซื้อนมให้ไนซ์และบอกว่าเขาไม่รู้สึกเสียใจหรือเสียดายหลังจากที่คุณแม่เล่าให้ฟังและบอกเหตุผลให้ฟังช่วงแรกเขาจะถามว่าทำไมถึงไม่ได้ นอกจากนี้ในเรื่องของคุณธรรมน้องแสดงความมีน้ำใจโดยบอกว่าจะแบ่งปันขนมให้เพื่อนกินด้วย

เด็กหญิงศรันย์พร นามสกุล แดงรักษ์ ชื่อเล่น น้องน้ำใส
ฉบับที่ 1 ตอบว่า
- ร้องไห้และรอให้พ่อกับแม่ซื้อให้
- ปิดน้ำเดี๋ยวน้ำหมด เปลืองเงินพ่อกับแม่
ฉบับที่ 2 ตอบว่า
- เล่นต่อ
- เอาไว้ก่อนไม่ให้ใคร
- ไม่เอา
ฉบับที่ 3 พฤติกรรมที่แสดงออก
- ของเล่นที่เสียจะบอกคุณพ่อให้ซ่อมและให้ซื้อใหม่แบบว่าเสียแล้วเสียไป ซื้อใหม่ก็ได้ คุณพ่อบอกว่าไม่มีเงินจะต้องทำงานก่อนจะตอบค่ะ และก็ไม่สนใจทำกิจกรรมเท่าใดนักตอนรื้อของเล่นไม่ได้รื้อแต่เทเลยครับ
ฉบับที่ 4 ตอบว่า
- ถ้าน้ำมันราคาแพงก็ไม่ต้องใช้ซิคะแม่
- สิ่งของอะไรที่ใช้เงินซื้อราคาแพงทั้งหมด
ฉบับที่ 5 ตอบว่า
- อร่อยกินได้
- ชอคโคแลต – สีน้ำตาล ไวตามิ้น – สีขาว
- กินได้
- ไว้ในตู้เย็น
ฉบับที่ 6 ตอบว่า
- แบ่งให้
- เก็บหรือให้คุณพ่อกับคุณแม่เก็บ
สรุป
จากคำตอบในฉบับแรกที่เกี่ยวกับเรื่องการดูแลรักษาของเล่นน้องบอกว่าถ้าพังจะร้องไห้รอให้พ่อกับแม่ซื้อและฉบับที่ 3 ที่เป็นกิจกรรมให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการซ่อมแซมของเล่นกับผู้ปกครองของเล่นที่เสียจะบอกคุณพ่อให้ซ่อมและให้ซื้อใหม่แบบว่าเสียแล้วเสียไป ซื้อใหม่ก็ได้ คุณพ่อบอกว่าไม่มีเงินจะต้องทำงานก่อนจะตอบค่ะ และก็ไม่สนใจทำกิจกรรมเท่าใดนักแสดงให้เห็นว่าน้องยังไม่สามารถแก้ปัญหาในเรื่องการดูแลรักษาของเล่น แต่ในเรื่องของการประหยัดน้ำน้องบอกว่าถ้าเห็นน้ำไหลต้องปิดน้ำเดี๋ยวน้ำหมด เปลืองเงินพ่อกับแม่ นอกจากนี้ในเรื่องของคุณธรรมน้องแสดงความมีน้ำใจโดยการบอกครูว่าจะแบ่งของให้เพื่อน

เด็กชายศุภกฤต นามสกุล ประกายสันติ ชื่อเล่น น้องกฤต
ฉบับที่ 1 ตอบว่า
- ไม่มีเล่น
- ไปปิด เพราะเสียดาย
ฉบับที่ 2 ตอบว่า
- ก็นำมาเล่น
- ก็ไม่เล่น
- ก็ไม่เอา
ฉบับที่ 3 พฤติกรรมที่แสดงออก
- ช่วยซ่อมแซมของเล่น โดยจะพยายามถามว่าของเล่นชิ้นนี้เป็นอะไร ชิ้นนี้เป็นอะไร และช่วยหยิบของที่พ่อต้องการใช้และช่วยเก็บของเข้าที่เดิม
ฉบับที่ 4 ตอบว่า
- ก็ไม่ไป
- เพราะน้ำมันแพง เรามีเงินไม่มาก เราก็ไม่มีก็จ่ายค่าน้ำมัน
ฉบับที่ 5 ตอบว่า
- นมจืดไม่หวาน / นมเปรี้ยว รสเปรี้ยว/ รสหวาน/หวาน
- รสสตรอเบอรรี่ ชมพู / นมเปรี้ยวมีสีส้ม / รสหวานกับรสจืดมีสีขาว
- รสจืดมีกลิ่นจืด ๆ รสสตรอเบอรี่มีกลิ่นหอม ๆ นมเปรี้ยวมีกลิ่นเปรี้ยว ๆ
ฉบับที่ 6
- แบ่งให้เพื่อนครับ
- เอาไปเก็บครับ
สรุป
จากคำตอบในฉบับที่ 1 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการประหยัดน้ำและการดูแลรักษาของเล่นน้องตอบว่าถ้าของเล่นพังก็ไม่มีเล่น ส่วนในเรื่องของการประหยัดน้ำน้องบอกว่าต้องไปปิด เพราะเสียดายน้ำและในฉบับที่ 3 ที่เป็นกิจกรรมให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการซ่อมแซมของเล่นร่วมกับผู้ปกครองน้องช่วยซ่อมแซมของเล่น โดยจะพยายามถามว่าของเล่นชิ้นนี้เป็นอะไร ชิ้นนี้เป็นอะไร และช่วยหยิบของที่พ่อต้องการใช้และช่วยเก็บของเข้าที่เดิม ส่วนในฉบับที่ 5 ที่เกี่ยวกับเรื่องการแยกแยะสี กลิ่นและรสชาติของนมน้องแยกแยะได้พร้อมทั้งบอกว่าถ้ามีขนมจะแบ่งให้เพื่อทานด้วย

เด็กชายสรพัศว์ นามสกุล สิริภาคยกุล ชื่อเล่น น้องไอคิว
ฉบับที่ 1 ตอบว่า
- ให้ป๊ะ(พ่อ)ซ่อมให้ เช่น สกู๊ตเตอร์จักรยาน
- เดินไปปิดเอง เพราะมันล้นและเปลืองน้ำ
ฉบับที่ 2 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 3 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 4 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 5 ตอบว่า
- มีรสชาติต่างกัน
- มีสีต่างกัน
- มีกลิ่นต่างกัน
- เก็บใส่ตู้เย็น
ฉบับที่ 6 ตอบว่า
- น้องตอบว่าก็จะแบ่งเพื่อนและยังเล่นด้วยกัน
- น้องตอบว่าจะรักษาเล่นเบา ๆ และเก็บเข้าที่
สรุป
จากคำตอบในฉบับแรกที่ถามว่าถ้าของเล่นที่รักพังจะทำอย่างไรน้องบอกว่าให้ป๊ะ(พ่อ)ซ่อมให้ เช่น สกู๊ตเตอร์จักรยานและถ้าเห็นน้ำเปิดอยู่ก็จะเดินเดินไปปิดเอง เพราะมันล้นและเปลืองน้ำ ในฉบับที่ 5 เกี่ยวกับเงื่อนไขความรู้เรื่องการแยกแยะสี กลิ่นและรสชาติของนมน้องบอกได้และยังบอกอีกว่าต้องเก็บเข้าตู้เย็นถึงจะเก็บได้นานพร้อมทั้งยังบอกอีกว่าถ้ามีขนมจะแบ่งให้เพื่อนทานและจะเล่นของเล่นกับเพื่อน

เด็กหญิงสวิชญา นามสกุล ศรีพลอย ชื่อเล่น น้องต้นข้าว
ฉบับที่ 1 ตอบว่า
- หนูจะดูแลรักษาไว้ดี ๆ หนูจะเก็บของเล่นเอาไว้ดูไม่เอาไปทิ้ง
- หนูจะปิดก๊อกน้ำเพราะเดี๋ยวน้ำหมดและไม่มีเอาไว้ใช้อาบน้ำ ฯลฯ ช่วยให้แม่จ่ายค่าน้ำน้อยลง
ฉบับที่ 2 ตอบว่า
- หนูจะดีใจและแม่ก็ไม่ต้องซื้อของเล่นมาให้ใหม่จะได้ไม่เปลืองเงิน
- หนูจะเอาไปเก็บไว้ที่เดิม
- หนูเสียใจและหนูจะวิ่งไปขอเงินพ่อกับแม่มาซื้อขนม
ฉบับที่ 3 พฤติกรรมที่แสดงออก
- ช่วยหยิบของเล่นที่พังแล้ว เอามาให้พ่อกับแม่ซ่อมแซม
ฉบับที่ 4 ตอบว่า
- รอให้น้ำมันราคาถูกกว่านี้ก่อนแล้วค่อยไปเที่ยวกัน
- เสียใจที่ไม่ได้ไปเที่ยว
ฉบับที่ 5 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 6
- หนูจะแบ่งขนมให้เพื่อนทาน เพราะเราเป็นเพื่อนกันมีอะไรก็แบ่งปันกัน
- หนูจะเอาของเล่นไปเก็บไว้ที่เดิม
สรุป
ในฉบับที่ 1 มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการดูแลรักษาของเล่นและการปิดน้ำน้องบอกว่าหนูจะดูแลรักษาไว้ดี ๆ หนูจะเก็บของเล่นเอาไว้ดูไม่เอาไปทิ้งและถ้าเห็นน้ำเปิดทิ้งหนูจะปิดก๊อกน้ำเพราะเดี๋ยวน้ำหมดและไม่มีเอาไว้ใช้อาบน้ำ ฯลฯ ช่วยให้แม่จ่ายค่าน้ำน้อยลง และในฉบับที่ 3 ที่มีกิจกรรมให้เด็กได้มีส่วนร่วมกับผู้ปกครองในการซ่อมแซมของเล่นคือช่วยหยิบของเล่นที่พังแล้ว เอามาให้พ่อกับแม่ซ่อมแซม ในฉบับที่ 4 มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเรื่องความมีเหตุผลเมื่อคุณแม่อธิบายเรื่องราวให้ฟังน้องบอกว่ารอให้น้ำมันราคาถูกกว่านี้ก่อนแล้วค่อยไปเที่ยวกันก็ได้ ในฉบับที่ 6 โดยมีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเงื่อนไขความรู้น้องบอกว่าถ้าหนูจะแบ่งขนมให้เพื่อนทาน เพราะเราเป็นเพื่อนกันมีอะไรก็แบ่งปันกันและยังแสดงถึงความมีวินัยในการเก็บของเล่นเข้าที่โดยบอกว่าหนูจะเอาของเล่นไปเก็บไว้ที่เดิม

เด็กหญิงอนัญญา นามสกุล พรภัทรา ชื่อเล่น น้องชีส
ฉบับที่ 1 ตอบว่า
- ต้องซ่อมหรือให้แม่ซ่อมก่อนและถ้าซ่อมไม่ได้แล้วก็ทิ้งหรือขายและซื้อให้ใหม่เพราะจะประหยัดเงินช่วยแม่ เพราะแม่ไม่มีเงิน
- ปิดน้ำเพราะต้องประหยัดน้ำช่วยแม่เพราะหนูรักแม่ เพราะแม่หาเงินได้ไม่มากหนูสงสารแม่ (แต่บางครั้งเขาจะลืมปิดน้ำ)
ฉบับที่ 2 ตอบว่า
- เก็บไว้ค่ะแม่
- ไปให้คนอื่น
- ไม่เอาจะประหยัดช่วยแม่
ฉบับที่ 3 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 4 ตอบว่า
- อยู่บ้านไม่ไปก็ได้ ตอนไหนแม่มีเงินค่อยกันก็ได้
- ไม่เป็นไรค่ะแม่ หนูจะประหยัดเงินช่วยแม่(ในคำพูดเขาว่าอย่างนั้น)
ฉบับที่ 5
- นมเปรี้ยวมันเปรี้ยว นมของหนูมันรสวนิลา
- สีขาวค่ะแม่
- หอม ๆ
- เก็บไว้ในตู้เย็นหรือปิดฝาให้แน่นเลยค่ะแม่
ฉบับที่ 6
- แบ่งให้เพื่อนกินด้วยกันค่ะแม่
- เก็บให้เรียบร้อยค่ะแม่แล้วนำไปนั่งอยู่กับที่
สรุป
ในฉบับที่ 1 มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับ การดูแลรักษาของเล่นโดยมีคำถามว่าถ้าของเล่นที่รักพังจะทำอย่างไรน้องบอกว่า ต้องซ่อมหรือให้แม่ซ่อมก่อนและถ้าซ่อมไม่ได้แล้วก็ทิ้งหรือขายและซื้อให้ใหม่เพราะจะประหยัดเงินช่วยแม่ เพราะแม่ไม่มีเงินและถ้าเห็นน้ำไหลทิ้งจะทำอย่างไรน้องบอกว่าปิดน้ำเพราะต้องประหยัดน้ำช่วยแม่เพราะหนูรักแม่ เพราะแม่หาเงินได้ไม่มากหนูสงสารแม่ (แต่บางครั้งเขาจะลืมปิดน้ำ) ส่วนในฉบับที่ 4 ที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับความมีเหตุผลหลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายเรื่องการประหยัดน้ำมันน้องบอกว่าอยู่บ้านไม่ไปก็ได้ ตอนไหนแม่มีเงินค่อยกันก็ได้
ไม่เป็นไรค่ะแม่ หนูจะประหยัดเงินช่วยแม่นอกจากนี้ในฉบับที่ 5 ที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเงื่อนไขความรู้โดยให้เด็กได้แยกแยะสี กลิ่นและรสชาติของนมน้องแยกแยะได้พร้อมทั้งยังบอกว่าต้อง เก็บนมไว้ในตู้เย็นหรือปิดฝาให้แน่นเลย และถ้ามีขนมจะแบ่งให้เพื่อนทาน

เด็กชายไอดิน นามสกุล คล้ายเหมือน ชื่อเล่น สาม
ฉบับที่ 1 ตอบว่า
- ถ้ายังเล่นได้ก็เล่นชิ้นนี้ต่อไปไม่ซื้อใหม่
- เก็บไว้ก่อน วันหลังจะเอามาเล่นใหม่
- หนูก็ขอเงินคุณพ่อคุณแม่
ฉบับที่ 2 ตอบว่า
- พังก็พังไปซิ หนูก็ซื้อใหม่
- หนูเห็นหนูก็ปิดก๊อกน้ำ เพราะถ้าไม่ปิดก็เปลืองน้ำ
ฉบับที่ 3 พฤติกรรมที่แสดงออก
- ลูกจะรู้สึกตื่นเต้นมากเหมือนกับว่าได้ของเล่นชิ้นใหม่ เพราะของเล่นบางชิ้นไม่เสียหายมากนักแต่จะเก็บไว้นานแล้ว แต่ลูกก็จะจำได้หมดทุกชิ้นว่าเป็นลูก ก็เอาไปทำความสะอาดเองอย่างเช่น รถถ้าล้อหลุดลูกก็จะเอามาใส่เองเพราะเคยเล่นแล้วเลยจำได้
ฉบับที่ 4 ไม่มีคำตอบ
ฉบับที่ 5 ตอบว่า
- ชอบทุกรสชาติที่ชิมและลูกก็อยากดื่มนมทุกรสที่ลูกจะได้ชิม
- กลิ่นหอมมากและจะถามว่าใส่อะไรลงไปทำไมนมถึงมีกลิ่นหอม
ฉบับที่ 6 ตอบว่า
- หนูก็แบ่งขนมให้เพื่อนให้เพื่อนเพราะเราเป็นเพื่อนกันเวลาเพื่อนมีขนมเพื่อนก็เคยแบ่งให้หนูกิน
- เล่นเสร็จแล้วต้องเก็บเข้าที่เหมือนกันเพราะว่าจะได้เรียบร้อย
สรุป
จากคำตอบในฉบับที่ 1 น้องบอกว่าถ้าของรักพังก็เล่นไปก่อนถ้ายังเล่นได้ก็เล่นชิ้นนี้ต่อไปไม่ซื้อใหม่และถ้าพังลงหนูก็ขอเงินคุณพ่อคุณแม่ แต่ในฉบับที่ 2 น้องบอกว่าพังก็พังไปซื้อใหม่ แสดงให้เห็นว่าน้องยังไม่มีทักษะในการแก้ปัญหาในเรื่องของการดูแลรักษาของเล่น ส่วนในฉบับ
ที่ 3 มีกิจกรรมให้เด็กได้มีส่วนร่วมกับผู้ปกครองในการดูแลรักษาของเล่นน้องแสดงพฤติกรรมดังนี้ คือ รู้สึกตื่นเต้นมากเหมือนกับว่าได้ของเล่นชิ้นใหม่ เพราะของเล่นบางชิ้นไม่เสียหายมากนักแต่จะเก็บไว้นานแล้ว แต่ก็จะจำได้หมดทุกชิ้นว่าเป็นของตัวเอง ก็เอาไปทำความสะอาดเองอย่างเช่น รถถ้าล้อหลุดก็จะเอามาใส่เองเพราะเคยเล่นแล้วเลยจำได้ ส่วนในฉบับที่ 5 มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการแยกแยะสี กลิ่นและรสชาติของนมน้องบอกได้ นอกจากนี้ในฉบับที่ 6 ที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเงื่อนไขคุณธรรมน้องแสดงความมีน้ำใจโดยบอกว่าหนูก็แบ่งขนมให้เพื่อนให้เพื่อนเพราะเราเป็นเพื่อนกันเวลาเพื่อนมีขนมเพื่อนก็เคยแบ่งให้หนูกินและแสดงความมีวินัยในการเล่นของเล่นโดยบอกว่าถ้าเล่นเสร็จแล้วต้องเก็บเข้าที่เหมือนกันเพราะว่าจะได้เรียบร้อย

สรุปผลโครงการจุลสารผู้ปกครองสร้างลูกให้เก่งดี มี สุขของเด็กอนุบาล ห้อง 1/2

ฉบับที่ 1 ภาพรวมและเนื้อหาสาระรวมของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ในฉบับนี้ได้รวบรวมเนื้อหาสาระที่กล่าวถึงภาพรวมของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและในกิจกรรมท้ายบทโดยมีคำถามที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาของเล่นร้อยละ ..... บอกว่าถ้าของเล่นพังจะให้พ่อกับแม่ซ่อมหรือเล่นให้พังก่อนนำไปทิ้งและซื้อใหม่ส่วนร้อยละ ........บอกว่าพังก็พังไปเดี๋ยวค่อยซื้อใหม่ จากคำตอบแสดงให้เห็นว่าเด็กส่วนมากเริ่มมีทักษะในการแก้ปัญหาคือรู้ว่าตนเองยังซ่อมไม่ได้ก็จะนำไปให้พ่อกับแม่ซ่อม นอกจากนี้ยังมีคำถามว่าถ้าเห็นน้ำไหลทิ้งจะทำอย่างไร ร้อยละ.........ตอบว่าจะเดินไปปิดเพราะช่วยแม่ประหยัดน้ำเดี๋ยวน้ำหมด ร้อยละ.......บอกว่าไม่ปิดให้ครูปิดเพราะเดี๋ยวไปไม่ทันเพื่อน แสดงให้เห็นว่าเด็กเริ่มมีความเข้าใจในเรื่องของการประหยัดน้ำและรู้ถึงผลเสียของการเปิดน้ำทิ้ง

ฉบับที่ 2 เรื่องความพอประมาณ
ในฉบับนี้มีเนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับความพอประมาณหลังจากให้ผู้ปกครองอธิบายกับลูกแล้วก็มีกิจกรรมท้ายบทโดยมีคำถามดังนี้ถ้ามีของเล่นที่เล่นมานานและเกิดเบื่อจะทำอย่างไร ร้อยละ.......บอกว่าก็เล่นต่อไปจนกว่าจะพัง ร้อยละ.......ตอบว่าซื้อใหม่ แสดงให้เห็นว่าเด็กส่วนมากมีความรู้สึกรักในของเล่นและเข้าใจเหตุผลว่าถ้าซื้อใหม่ไม่มีเงินต้องเล่นชิ้นเดิมก่อน และถามว่าถ้าเกิดอยากได้ขนมแต่ไม่มีเงินซื้อจะทำอย่างไร ร้อยละ......บอกว่าไม่ซื้อและร้อยละ........บอกว่าซื้อห่อเล็กไปก่อนแสดงให้เห็นว่าเด็กเริ่มมีทักษะในการแก้ปัญหาได้คือบอกว่าต้องซื้อขนมห่อเล็กจะได้ไม่แพงมาก

ฉบับที่ 3 เรื่องความมีเหตุผล
ในฉบับนี้มีเนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับความมีเหตุผลโดยการยกสถานการณ์จำลองในเรื่องของการไปเที่ยววันหยุดสุดสัปดาห์ทุกครั้งแต่เนื่องจากน้ำมันแพงจำเป็นต้องประหยัดทำให้ลดจำนวนการไปเที่ยวน้อยลง จากนั้นให้ผู้ปกครองอธิบายให้ลูกฟังและถามความรู้สึกลูกว่าจะทำอย่างไร ร้อยละ......บอกว่าก็ไม่ต้องไปเที่ยวและร้อยละ......บอกว่าก็เปลี่ยนไปเที่ยวที่ใกล้ ๆ แทน จากคำตอบแสดงให้เห็นว่าเด็ก ๆ เริ่มมีเหตุผลและเข้าใจว่าถ้าเราไม่ประหยัดน้ำมันก็ต้องเปลืองเงินมากขึ้นและเริ่มมีทักษะการแก้ปัญหาคือเปลี่ยนไปเที่ยวระยะทางที่ใกล้จะได้ประหยัดน้ำมัน

ฉบับที่ 4 เรื่องการมีภูมิคุ้มกันที่ดี
ในฉบับนี้มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการมีภูมิคุ้มกันในการรับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นโดยในฉบับนี้เปลี่ยนจากคำถามมาเป็นชวนให้เด็กได้ทำกิจกรรมกับผู้ปกครองโดยให้เด็กได้มีส่วนร่วมคือการซ่อมแซมของเล่นที่พังร้อยละ........คือเด็กให้ความร่วมมือกับผู้ปกครองเช่นการช่วยหยิบจับของเล่นที่พังมาซ่อมแซมและขณะที่ซ่อมก็มีการซักถามพูดคุยกันว่าพังเพราะสาเหตุและร้อยละ......บอกว่าพังก็ซื้อใหม่และไม่ใส่ใจกิจกรรม จากพฤติกรรมของเด็กส่วนมากแสดงให้เห็นว่าเด็กเริ่มเข้าใจว่าสิ่งของที่พังถ้าเราเอามาซ่อมใหม่ก็สามารถนำมาใช้ได้

ฉบับที่ 5 เงื่อนไขความรู้
ในฉบับนี้มีเนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับการมีความรู้โดยมีกิจกรรมท้ายบทคือให้ผู้ปกครองได้ให้เด็กได้แยกแยะนมจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของตนเองและให้บอกสี กลิ่นและรสชาติของนมว่าเป็นอย่างไรและเปรียบเทียบนมหลาย ๆ รสชาติว่าเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร เด็กร้อยละ........บอกได้และแยกแยะนมได้ พร้อมทั้งบอกว่าตนเองชอบรสชาติแบบไหน จากนั้นยังบอกวิธีการถนอมและเก็บรักษานมโดยบอกว่าต้องเก็บเข้าตู้เย็น แสดงให้เห็นว่าเด็กมีความรู้ในเรื่องของนมจากประสบการณ์เดิมของตนเองโดยผ่านการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5

ฉบับที่ 6 เงื่อนไขคุณธรรม
ในฉบับนี้มีเนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับเงื่อนไขคุณธรรมโดยให้ผู้ปกครองได้ยกสถานการณ์จากชีวิตประจำวันที่พบเจอทั้งในโรงเรียนและที่บ้านในเรื่องเกี่ยวกับการแบ่งปันสิ่งของเช่นขนมหรือของเล่นว่าต้องบ่งปันให้เพื่อน เมื่อฟังผู้ปกครองอธิบายเด็กร้อยละ......ตอบว่าตนเองจะแบ่งปันขนมให้เพื่อน และเด็กร้อยละ .....ยังมีการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางโดยบอกว่าจะแบ่งให้เฉพาะคนที่ตนเองชอบเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าเด็กว่าเด็กส่วนมากเริ่มแสดงความมีน้ำใจต่อเพื่อนได้บ้างและนอกจากนี้เด็ก ๆ ยังแสดงถึงความมีวินัยในตนเองว่าถ้าเล่นของเล่นเสร็จแล้วจะต้องช่วยครูเก็บเข้าที่